|
|
บทนำ > ประวัติศาสตร์ฮวงจุ้ย1 |
|
|
ข้อมูลจาก งานวิจัยค้นคว้าแบบอิสระหลักสูตรปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ
หัวข้อ ทัศนคติต่อการออกแบบกราฟิกด้วยศาสตร์ฮวงจุ้ย ในสถานการณ์ธุรกิจร่วมสมัยในประเทศไทย
ผู้ทำวิจัย จักรพงศ์ บุญโยม
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประวัติศาสตร์ฮวงจุ้ย
...................มีการกล่าวถึงหลักปรัชญา
ซึ่งเป็นแก่นของความเชื่อ ที่ส่งผลต่อความเชื่อรวมถึงการดำเนิน
ชีวิตของชาวจีน ในประเด็นนี้ต้องย้อนกลับไปศึกษาเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของปรัชญาจีน
บางแห่งมีการกล่าวถึง
กษัตริย์จีนในตำนาน ชื่อว่า ฝูซี เป็นผู้ค้นพบกฏเกณฑ์ของธรรมชาติและเป็นจุดเริ่มต้นของปรัชญาจีน
ในเวลาต่อมา
................... กล่าว่าสมัยฝูซีอยู่ห่างจากปัจจุบันประมาณ
5000 ปี หลักฐานความเชื่อเรื่องฝูซีคือการพบรูปหิน
แกะสลักท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นงูหรือมังกร รูปหินแกะสลักนี้มีอายุเก่าแก่
ประมาณ 1800 ปี ตั้งอยู่ที่
เทีอกเขาอู่จื่อซาน ของมณฑลซานตุง ฝูซี อยู่ในยุคสมัยที่กำลังการผลิตได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
การคิดประดิษฐ์สำคัญๆ หลายอย่างมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับฝูซี ฝูซีชอบท่องเที่ยวแสวงหาความรู้เกี่ยวกับ
โลก และจักรวาล เขาได้คิดค้นแผนภูมิ 8 หรือปากั้ว ที่มีสีสันลึกลับตามปรากฎการณ์ของธรรมชาติ
แผนภูมิ 8
นี้เป็นสัญลักษณ์ ที่นำมาประกอบกันเข้า เพื่อใช้บอกชื่อสรรพสิ่งในสมัยนั้น
ซึ่งยังไม่มีตัวอักษร หลังจากนั้นฝูซี
ก็สอนให้ประชาชนรู้จักการล่าสัตว์และจับปลาโดยใช้เชือกทอเป็นแหและอวน สอนให้ประชาชนรู้จัก
เจาะไม้
เอาเชื้อไฟเพื่อหุงต้มอาหาร ในยุคแรกๆ จีนใช้วิธีการเลือกตั้งกษัตริย์ขึ้นมาปกครองบ้านเมืองโดยคัดเลือกจาก
ความสามารถและคุณธรรม กษัตริย์แต่ละองค์ ก็ต้องแข่งกันแสดงความสามารถ เชื่อกันว่า
กษัตริย์องค์แรกชื่อ
ฝูซี หรือฟูสี ในยุคนี้มีหลายองค์ เช่น เสินหนง หรือเสินหนุง ซึ่งภายหลัง
คนยกย่องให้เป็นเทพแห่งเกษตรกรรม
หวงตี้ หรือ พระเจ้าอึ่งตี่ (จักรพรรดิเหลือง) ในประวัติศาสตร์จีนได้มีการบันทึกไว้
เป็นกษัตริย์จีนในหน้า
ประวัติศาสตร์องค์แรกรวบรวมจีนเป็นปึกแผ่น และมีการประดิษฐ์ อักษร ปฏิทิน
ทอผ้า และวิชาแพทย์ ซึ่งกล่าวได้ว่า
ฝูซี เป็นจักรพรรดิที่อยู่ในช่วงต้นของประวัติศาสตร์จีนและเป็นผู้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์และที่สำคัญเขาได้คิดค้น
แผนภูมิ 8 หรือปากั้ว ก่อนจะมีการประดิษฐ์ตัวอักษรจีนในยุคของพระเจ้าเหลือง
แนวคิดของจักรพรรดิ ฝูซี
เกี่ยวกับสัญลักษณ์ ปากั้ว เป็นต้นกำเนิดปรัชญาจีน แนวความคิดของพระองค์มีรากฐานมาจากการผสมเส้นตรง
กล่าวคือ เส้นตรงเดี่ยว เรียกว่า หยาง เป็นตัวแทนเพศชาย และเป็นสัญลักษณ์แทนความแข็งแกร่ง
ส่วนเส้นตรง
แยกเรียกว่า หยิน เป็นตัวแทนเพศหญิง และเป็นสัญลักษณ์แทนความอ่อนโยนแปรปรวน
หยางและหยินแม้
จะมีลักษณะตรงกันข้ามกัน แต่ทั้งสองก็รวมกันเป็นสิ่งที่เรียกว่า เอกภาวะได้
หรือประสานกลมเกลียวกันโดย
อาศัยความแตกต่างนั่นเอง
ฝูซี กษัตริย์จีนในตำนานผู้คิดค้นแผนภูมิ
8 หรือปากั้ว
เรื่องกำเนิดปรัชญาจีนนี้ พงศาวดารจีนกล่าวย้อนไปนับหมื่นๆปีว่า
มีคนเริ่มต้นสร้างสวรรค์ มีชื่อว่าโกสี
มีพี่น้องอยู่ 3 กลุ่ม คือกษัตริย์ในสรวงสวรรค์ 12 องค์ กษัตริย์บนโลก
11 องค์ และกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์
อีก 9 องค์ ทั้ง 3 กลุ่มนี้จะเป็นตัวแทน สวรรค์ โลก และมนุษย์ เชื่อกันว่ากษัตริย์เหล่านี้เป็นวีรบุรุษ
ของความอัจฉริยะด้านต่างๆ เช่น ยูเชา เป็นกษัตริย์ที่สร้างบ้านเรือนเป็นองค์แรก
ส่วน ซุยหยิน
ทรงเป็นวีรบุรุษด้านสร้างรถไฟเป็นต้น ปรัชญาอีกอย่างที่มีอิทธิพลต่อการสร้างวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีจีน คือ หยินหยาง ปรัชญานี้เป็นลัทธิเกี่ยวกับจักรวาลวิทยา ที่ค้นหาและศึกษาความจริง
เกี่ยวกับสากลจักรวาล และเชื่อว่าหยางหยิน ต้นกำเนิดของสรรพสิ่งต่างๆ ทฤษฎีและวิวัฒนาการของ
หยางหยินนี้ นักปราชญ์จีนชื่อ ชาน อธิบายไว้ว่า เรื่อง หยางหยิน เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลต่อจีนอย่างลึกซึ้ง
และกว้างขวาง ศาสตราจารย์เฝิงอิ่วหลัน กล่าวไว้ว่า หยางหยินมีพื้นฐานมาจากดาราศาสตร์
ซึ่งในสมัย
นั้นเรียกว่า ฟางจือ นิกายนี้มีแนวโน้มไปทางวิทยาศาสตร์
โดยพยายามอธิบาย ปรากฎการณ์ทาง
ธรรมชาติที่เกิดขึ้น ในความหมายของพลังของธรรมชาติ ในระยะเริ่มแรกก่อนที่จะเกิดนิกายนี้
นักปราชญ์ในสมัยนั้นมีแนวความคิดอยู่ 2 ทฤษฎี ซึ่งต่างก็พยายามอธิบายปรากฎการณ์ธรรมชาติ
ทฤษฎีแรก คือ หยางหยิน
...................ทฤษฏีหยินหยาง
เกิดจากปรากฎการณ์ของธรรมชาติที่ปราชณ์จีนโบราณค้นพบวิถีความ
เป็นไปของธรรมชาติ ต้นกำเนิดของหยินหยางนั้นคือการศึกษาวิถีการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์
สามารถกลับไปดูข้อมูลที่มาของสัญลักษณ์หยิน-หยางได้ที่ เปิดอ่าน
ส่วนทฤษฎีที่สอง คือ ธาตุทั้ง 5
หรือ หวู ซิ่ง มีหลักฐานปรากฎอยู่ในหนังสือ the Book
of History
โดยใช้ชื่อว่า หลักใหญ่ ทฤษฎีนี้กล่าวถึงธาตุทั้ง 9 แต่เน้นความสำคัญเฉพาะธาตุ
5 ชนิดเท่านั้น
โดยอธิบายว่า เหล็ก หรือทอง มีลักษณะที่อาจถูกหลอมและเปลี่ยนรูปร่างได้
น้ำ มีธรรมชาติเปียก
ชื้นและไหลลงสู่ที่ต่ำ ไม้ มีลักษณะโค้งงอหรือตั้งตรง ไฟ มีลักษณะเป็นเปลวพุ่งขึ้นสู่ที่สูง
ดินใช้
เพาะปลูก หนังสือ อู่ ซิง ซวอ ซึ่งเป็นหนังสือโบราณ ได้กล่าวถึงธาตุทั้ง
5 ไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิด
จากธาตุทั้ง 5 นี้ ธาตุทั้ง 5 จะเป็นส่วนประกอบของทุกสิ่งในโลกนี้ คนจีนใช้ความคิดนี้อธิบายสิ่งต่างๆ
เช่น ฮวงจุ้ย ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ เคมี ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนจึงถือกำเนิด
1) รากฐานของปรัชญาจีนอยู่ที่ความกระหายของนักปราชญ์ผู้ปรารถนาจะทำความเข้าใจในวิถีทาง
ของธรรมชาติ และล่วงรู้ความต้องการของประชาชน การแสวงหาหลักธรรม หลักการปกครอง
วรรณคด
ีและศิลปะ
2) เน้นวิธีการแสวงหาความรู้แบบ จิตญาณ คือการเข้าใจแบบรู้แจ้ง (รู้ด้วยตนเอง)
3) ไม่อาศัยหลักและเหตุผลหรือตรรกวิทยาแบบตะวันตก
4) ปรัชญาจีน ถือว่าความคิดทางศาสนาเริ่มต้นมาจากปรัชญาแห่งการอบรมฝึกฝนตนเอง
แล้วเจริญขึ้นมา
เป็นลัทธิศาสนาในตอนหลัง
5) ปรัชญาจีนเป็นการผสมผสานของอุดมคติ (จิตนิยม) กับความเป็นจริง (สัจจนิยม)
เช่นการประยุกต์แนวคิด
ทางเต๋า ในเรื่องของความว่าง
6) ปรัชญาจีนเป็นปรัชญาที่เกี่ยวกับจริยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วรรณคดี
ศิลปะและการเมือง
7) ปรัชญาจีนพยายามเข้าใจวิถีทางแบบธรรมชาติและความจำเป็นของมนุษย์ และได้เน้นเรื่องทางศีลธรรม
ของมนุษย์มากกว่าความสามารถทางสติปัญญา ทั้งนี้เพื่อต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคมและหน้าที่ของ
พลเมืองมากกว่าทางศาสนา
สรุปปรัชญาจีน
1) เน้นการปกครองไว้ซึ่งจริยธรรม
2) ทฤษฎีกับการปฏิบัติไม่สามารถแยกออกจากกันได้
3) ถือหลักมนุษยนิยมเป็นสำคัญ (ประชาชนเป็นอันดับแรกในสิ่งทั้งปวง)
4) พื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตคือความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
5) บุคคลเป็นสัตว์สังคม ดังนั้นต้องทำประโยชน์แก่สังคม
6) เน้นธรรมชาติสังคมของบุคคลว่า มีความเสมอภาคมาโดยกำเนิด
7) ธรรมชาติเป็นหลักในสิ่งทั้งปวง
8) เน้นจริยศาสตร์ การเมือง วรรณคดี และศิลปะ
9) เน้นในการฝึกฝนตนเอง ยกย่องความเป็นมนุษย์
10) เชื่อเรื่องวิญญาณ การเซ่นไหว้เคารพบูชาบรรพบุรุษ
มีการให้คำจำกัดความหมายลักษณะและจุดมุ่งหมายของปรัชญาจีนว่าเป็นการคิด
อย่างมีเหตุผล ปรัชญาโดยความหมายในปรัชญาจีน มิใช่หมายถึงความรู้ซึ่งเป็น
เพียงทฤษฏี หรือเป็นเพียงความคิดเห็นที่จะให้เรียนรู้ นักปรัชญาจีนให้คำจำกัด
ความของปรัชญาไว้ว่า “ การคิดอย่างมีเหตุผลและมีระบบเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต”
โดยคำจำกัดความนี้ปรัชญาจึงหมายถึงความรู้ซึ่งเป็นผลสัมฤทธิผลของการไตร่ตรอง
ตามหลักเหตุและผล และเป็นสิ่งที่จะนำมาปฏิบัติเพื่ออุดมคติ อันก่อให้เกิดประโยชน์ได
้ในชีวิตนี้และสังคมนี้ เนื่องจากปรัชญาจีนมีลักษณะเป็นมนุษยนิยมเน้นหนักในเรื่อง
คุณธรรมและหลักการปกครอง ปรัชญาที่มีอยู่จึงเป็นคำตอบต่อปัญหาว่า
“มันควรเป็นอย่างไร” มากกว่าคำถามที่ว่า “ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น” นั่นคือเน้นในเรื่อง
ปัจจุบันสิ่งที่ควรจะเป็นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข .....................................................
จะเห็นได้ว่าความเชื่อของชาวจีน จะมีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่เป็นระบบเหตุและผลซึ่ง
เป็นการวางรากฐานกระบวนการคิดที่มีรากฐานเดียวกัน แตกแขนงออกเป็นศาสตร์ต่างๆ
เช่น การแพทย์แผนโบราณ ใช้เรื่องของความสมดุล หยินและหยาง และทฤษฏี 5 ธาตุ
ในการ
รักษาโรค วิชาการเกี่ยวกับอาหารก็ได้ใช้เรื่องของการปรับสมดุลของร่างกายโดยการปรับธาต
ุในร่างกายโดยใช้อาหารช่วยเสริมและลดธาตุในร่างกายให้สมดุลขึ้น ศาสตร์การปกครอง
และฮวงจุ้ยก็เช่นกัน ปรัชญาจีนเป็นเหมือนต้นขั้ว แบบแผนแนวคิดในการดำเนินชีวิต
และเป็นกรอบความคิดของชาวจีน ศาสตร์ต่างๆ ของชาวจีนจึงมีกรอบความเดียวกัน
และเมื่อศึกษาแล้วจะพบว่าศาสตร์ต่างๆ ของจีนมีความสัมพันธ์กันเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
แสดงให้เห็นถึงชาวจีนมีแนวคิดแบบเป็นองค์รวม
อิทธิพลของปรัชญาที่มีผลต่อวิถีชีวิตของชาวจีน
..........ย้อนกลับไปยุคก่อนปรัชญาเมธี ชาวจีนมีความเชื่อในเรื่องของวิญญาณและยังสืบทอด
กันมาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ฮวงจุ้ยเป็นความเชื่อที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน.......................
ความเชื่อของชาวจีนในเรื่องวิญญาณ ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะรู้จักและเข้าใจ
ในธรรมชาติ โดยมีเป้าหมายที่จะเข้าใจในชีวิตของตนเอง จึงแสดงออกมาในรูปของความเชื่อ
แบบวิญญาณนิยม ต่อมาเมื่อความรู้ได้พัฒนาขึ้นความเชื่อในเรื่องพระเจ้าค่อยๆ
จางลง
นักปราชญ์โบราณ ของจีนได้ค้นพบกฎแห่งธรรมชาติที่ครอบงำความเป็นไปของเอกภพ
และแสดงออกมาในรูปของพลังอำนาจทั้ง 2 ด้าน ที่เรียกว่าหยินและหยาง พลังหยินเป็นพลังลบ
ที่แสดงออกถึงความมืด ความลึกลับ ความหนาวเย็น ความเปียกชื้น และความเป็นหญิง
พลังนี้ปรากฏอยู่ในดิน พระจันทร์ และเงามืด ส่วนพลังหยางเป็นพลังบวก แสดงออกถึง
ความสว่าง ความอบอุ่น ความแห้ง การสร้างสรรค์ และความเป็นชาย พลังนี้ปรากฏอยู่ใน
พระอาทิตย์ และสิ่งที่ส่องแสงสว่าง ในเอกภพนี้จะมีพลังทั้งสองอย่างผสมกันในสัดส่วนท
ี่ทำให้เกิดเป็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา แต่ถ้าพลังอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่เป็นไปตามสัดส่วนก็จะทำ
ให้ผลที่เกิดขึ้นวิปริตไป
โลกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเอกภพได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังอำนาจทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้มีสิ่งต่าง
ๆ
เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน แต่นักปราชญ์จีนในสมัยโบราณได้พยายามที่จะจัดระบบ
ของมันออกมาเป็นกลุ่ม ๆ โดยพิจารณาจากคุณสมบัติ ซึ่งจำแนกออกมาได้เป็น
5 ธาตุ คือ
ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุไม้ ธาตุโลหะ (ซึ่งมุ่งหมายเฉพาะธาตุทอง) และธาตุดิน
อย่างไรก็ตามถึงแม้นักปราชญ์จีนในสมัยต่อมาจะสอนให้มนุษย์มีความเข้าใจธรรมชาติ
โดยใช้ปัญญามากกว่าความงมงาย ผู้ที่จะเข้าใจคำสอนเช่นนี้ได้ก็คงมีแต่ผู้มีปัญญาเท่านั้น
คนจีน โดยทั่ว ๆ ไปยังคงนับถือวิญญาณและเทพเจ้า เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปคำสอนของ
ปราชญ์คงเหลือไว้ให้ปัญญาชนศึกษาและขบคิดต่อไป ส่วนสามัญชนยังคงยึดถือในความเชื่อ
เดิม ๆ เทพเจ้ายังคงได้รับการยกย่องบูชาถูกยึดถือเป็นที่พึ่งต่อไป
ชาวจีนก่อนยุคปรัชญาเมธี มีความเชื่อแบบวิญญาณนิยม ซึ่งแบ่งออกได้
4 ระดับดังนี้
1) ระดับต้น เป็นการนับถือวิญญาณสูงสุด จักรพรรดิจีนได้รับการยกย่องว่าเป็นโอรสสวรรค์
ดังนั้นการบางสรวงพระเจ้านั้นจึงเป็นกษัตริย์เท่านั้นที่มีสิทธิ์บวงสรวง
เพราะถึอว่าเป็นผู้แทน
พระองค์ในฐานะโอรสสวรรค์ เป็นมูลเหตุสำคัญที่ปรัชญาจีนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมือง
2) ระดับ 2 คือวิญญาณประจำเบื้องล่าง เช่นภูเขา แม่น้ำ ธรรมชาติ.................................
3) ระดับ 3 คือวิญญาณของมนุษย์ โดยเฉพาะวิญญาณบรรพบุรุษ.....................................
4) ระดับ.4 คือวิญญาณของสัตว์ เช่น มังกร...................................................................
ความเชื่อเรื่องวิญญาณและการบูชาบรรพบุรุษของชาวจีน มีมาก่อนลัทธิเต๋าและศาสนาขงจื้อ
ชาวจีนเชื่อว่าคนตายไปแล้วแต่วิญญาณคงอยู่ วิญญาณมี 3 ดวง ดวงที่ 1 อยู่กับร่างที่หลุมฝังศพ
(ซัวจึง) ดวงที่ 2 อยู่ที่แผ่นป้ายบรรพชนที่บูชาที่บ้าน ดวงที่ 3 (หุน)
อยู่อีกโลกหนึ่งอาจอยู่บนสวรรค์ การบูชาบรรพบุรุษเกิดจากความเชื่อที่ว่าเมื่อปฏิบัติต่อบรรพบุรุษดีและถูกต้องสม่ำเสมอ
บรรพบุรุษ
ก็จะคุ้มครอง ช่วยเหลือทำให้ร่ำรวยมีความสุข เรื่องบูชาบรรพบุรุษและ หาทำเลที่สร้างที่ฝังศพจึงเป็น
เรื่องที่สำคัญที่เรียกว่า ฮวงจุ้ยคนตาย หรือ ฮวงซุ้ย
การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีนมีมาโดยลำดับไม่มีใครเป็นผู้ประกาศเป็นศาสดา
ความเชื่อนั้นจึงเกิดเป็นปรัชญาธรรมของคนจีนสมัยโบราณ จนกระทั้งยุคเฟื่องฟูของนักปราชญ์ที่สำคัญ
เช่นเล่าจื้อ ขงจื้อ มาประกาศคำสอน นักปราชญ์เหล่านั้นผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม
และคำสอนจาก
พุทธศาสนา เป็นหลักธรรมและปรัชญาชีวิตของชาวจีน กลายเป็นวัฒนธรรมของจีน
...............................................................................................
อาจกล่าวสรุปเกี่ยวกับปรัชญาจีนส่วนหนึ่งที่ชาวจีนได้รับอิทธิพลถูกส่งผ่านโดยจักรพรรดิ
ผู้ซึ่งเป็น
เสมือนสมมุติเทพ ที่ชาวจีนให้ความศรัทธา ทางการปกครอง และอีกประการหนึ่ง
การบูชาบรรพบุรุษโดยความเชื่อที่ว่าเมื่อปฏิบัติต่อบรรพบุรุษดีและถูกต้องสม่ำเสมอ
บรรพบุรุษก็จะคุ้มครอง จะเห็นได้ว่าชาวจีนจะให้ความสำคัญเรื่องระบบครอบครัว
ดังนั้นการส่งผ่านแนวคิดปรัชญาต่างๆ จึงผ่านทาง
ครอบครัวเป็นลำดับ เมื่อยุคที่ปรัชญาเฟื่องฟู จึงมีนักปรัชญามาประกาศเป็นคำสอน
ปรัชญาจึงเป็นเสมือน
แนวทางปฏิบัติ กรอบกติกาของสังคม
อิทธิพลของปรัชญาที่มีผลกับฮวงจุ้ย
ฮวงจุ้ยมีวิวัฒนาการเป็นลำดับ โดยได้รับอิทธิพลจากปรัชญา ที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงจุดกำเนิดของปรัชญาจีนอิทธิพลจากลัทธิปรัชญาที่สำคัญ
คือ ลัทธิหยิน- หยาง
แนวคิดนี้เกิดจาก ฝูซี จักรพรรดิจีนในตำนาน กล่าวได้ว่าเป็นต้นกำเนิดปรัชญาจีน
เป็นลัทธิเกี่ยวกับ
จักรวาลวิทยา ว่าด้วยการกำเนิดของจักรวาล คือความเชื่อที่ว่า หยิน- หยาง
เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง
อิทธิพลที่มีผลต่อความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยสามารถแบ่งออกได้เป็นข้อดังนี้
1) พื้นฐานแนวความคิดจากกฎของหยินและหยาง จักรพรรดิ์จีนโบราณ ชื่อ ฝู-ซี
เป็นผู้กล่าวถึง หยิน
และ หยาง ในคัมภีร์อี้จิง ว่าจักรวาล ธรรมชาติ สรรพสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
หยินและหยางเป็นต้น
เหตุแห่งสรรพสิ่ง ฮวงจุ้ย ถือว่า พลังหยินและหยาง เป็นพลังตรงข้ามที่คู่กัน
สลับการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมซึ่งกันและกัน หยิน มักแทนด้วยความมืด สีดำ
ความตาย ความไม่ดี
หญิง (ฮวงจุ้ย หมายถึง เสือขาว) ส่วน หยาง แทนด้วย ความสว่าง พระอาทิตย์
ชาย (ฮวงจุ้ย หมายถึง มังกรเขียว)
อี้จิงว่าเป็นคัมภีร์เก่าแก่ที่มีกำเนิดมาก่อน พุทธกาล ซึ่งถ้านับจนถึง
วันนี้นั้น
คัมภีร์อี้จิงก็จะมีอายุไม่ต่ำกว่า 3000 ปี มาแล้วในปัจจุบัน คัมภีร์อี้จิงนี้
ก็ยังคงเป็นที่นิยมและสนใจศึกษากัน
อย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศจีนเอง หรือแม้แต่ในหมู่ปัญญาชน
ของชาวซีกโลก ตะวันตก โดยตำราอี้จิงนี้ถูกถ่ายทอดออกเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก
ในอดีตที่ผ่านมาคัมภีร์
อี้จิงนี้มีอิทธิพลอย่างสูง มากต่อปรัชญาจีนทุกสาขาทั้งเต๋าและขงจื๊อ.
2) พื้นฐานแนวคิด เรื่อง ชี่ พลังแห่งชีวิต เมื่อสรรพสิ่งรวมอยู่ในเต๋า
หยินและหยางรวมกันเป็นเต๋า
ชี่เป็นพลังจักรวาล ชี่ เป็นพลังที่กระจายอยู่กับสภาพทุกสรรพสิ่ง เปรียบดังพลังชีวิต
(ลมหายใจแห่งมังกร)
ชี่จึงมีความหมาย 2 นัยคือ
1) หมายถึงจักรวาล ประกอบด้วย ลม แก๊ส พลังงาน……………………………………..
2) หมายถึง ชี่ของมนุษย์ คือ ลมหายใจ รัศมีภายในบุคคล กิริยามารยาทและพลังงาน
ทำให้มนุษย์เคลื่อนไหว………………………………………………………………………………...
3) ชี่ ในมนุษย์ ถ้าไหลเวียนคล่อง หมายถึง สุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตดี
4) ชี่ ในธรรมชาติ ทางฮวงจุ้ยจะพิจารณาทำเล ที่ตั้ง หากพลังชี่ที่ดีสะสมมากขึ้น
ก็จะก่อให้เกิดความสุข
ความอุดมสมบูรณ์ ร่ำรวย มีเกียรติยศ ชื่อเสียง................................................
3) พื้นฐานแนวความคิดเกี่ยวกับธาตุทั้ง.5.และดวงดาว เรื่องธาตุทั้ง 5 ชาวจีนมีความเชื่อว่าธาตุทั้ง
5
เป็นส่วนประกอบของ สรรพสิ่ง คือ ดิน น้ำ ไฟ ทอง และไม้ ส่วนดาวมี 9 ดวง
ดาวจะสัมพันธ์กับธาตุทั้ง 5 ดาวจึงมีอิทธิพลทั้งด้านส่งเสริมและทำลายธาตุทั้ง
5 ได้ด้วย เรื่องของดาว ธาตุทั้ง 5 นี้สัมพันธ์กับชะตาชีวิต
ของคน สัมพันธ์กับทิศ ฤดู ซึ่งกลายเป็นวิชา ภูมิโหราศาสตร์ เพราะในการหาที่ตั้งทำเลที่อยู่อาศัยหรือที่ทำ
ธุรกิจ จะต้องนำ ดวงชะตาชีวิตมาเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบทำเลหรือสถานที่ประกอบกัน
4) พื้นฐานแนวความคิดเรื่องทิศทั้ง8 แนวความคิดเรื่องทิศทั้ง 8 นี้มาจากความเชื่อเรื่องจักรวาล
เรื่องเทพวัตถุบนฟ้าว่าเคลื่อนที่ตามกฎหรือตัวเลขที่แน่นอน สวรรค์ โลก
มนุษย์ ธรรมชาติย่อมมีความ
เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เชื่อกันว่าธรรมชาติกำหนดทิศ ฟ้าดินกำหนดคุณสมบัติของทิศ
ความสัมพันธ
์เกี่ยวข้องกับหยินและหยาง และเขียนออกเป็นสัญลักษณ์ คือ หยางแทนด้วยเส้นเต็มเส้นหนึ่ง
( _ ) หยินแทนด้วยเส้นประ ( _ _ ) สองเส้นเมื่อนำมาประกบกัน (หยินและหยาง)
จะกลายเป็นรูปสามเหลี่ยม
ซึ่งมีความหมายว่า ธรรมชาติกำเนิดทิศ ฟ้าดินกำหนดคุณสมบัติของทิศ ดังที่แสดงทิศทั้ง
8 ไว้ดังนี้
เส้นเต็มและเส้นประแสดงทิศทั้ง 8
(เฉียน) ทิศใต้ หมายถึง สวรรค์
(คุน) ทิศเหนือ หมายถึง โลก (ดิน)
(หลี) ทิศตะวันออก หมายถึง ไฟ
(ข่าน) ทิศตะวันตก หมายถึง น้ำ
(เจิ้น) ทิศตะวันออกเฉียงเหนือหมายถึง เสียงฟ้าร้อง
(เตว่ย) ทิศตะวันออกเฉียงใต้ หมายถึง ไอน้ำหรือมหาสมุทร
(เกิ้น) ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หมายถึงภูเขา
(ซวิ่น) ทิศตะวันตกเฉียงใต้ หมายถึง ลม
ตารางที่ 2.2 เส้นเต็มและเส้นประแสดงทิศทั้ง 8
เมื่อทำเส้น ___ และเส้น _ _ อันหมายถึงหยินและหยางแสดง
ทิศทั้ง 8 รวมถึงความเกี่ยวพันกับธรรมชาติ
ิและชะตาชีวิตของคน เป็นการเชื่อมโยงจักรวาล เข้ากับ ชะตาชีวิตของมนุษย์
แสดงถึงเครื่องหมาย
แห่งพลังอำนาจอันเข้มแข็งต่อมามีการนำมาดัดแปลงกลายเป็นรูปแปดเหลี่ยม เป็นเครื่องรางป้องกันอิทธิพล
เสนียดจัญไรและความชั่วร้ายต่างๆ เรียกว่า ยันต์ปากั้ว (สำเนียงแต้จิ๋วออกเสียงโป๊ยข่วย)
สัญลักษณ์หรือยันต์นี้เกี่ยวข้องกับฮวงจุ้ย
แผนภูมิ 8 หรือยันปากั้ว
5) พื้นฐานแนวคิดบูชาบรรพบุรุษ.ความเชื่อเรื่องวิญญาณและการบูชาบรรพบุรุษของชาวจีน
มีมาก่อนลัทธิเต๋าและศาสนาขงจื้อ ชาวจีนเชื่อว่าคนตายไปแล้วแต่วิญญาณคงอยู่
วิญญาณมี 3 ดวง
ดวงที่ 1 อยู่กับร่างที่หลุมฝังศพ (ซัวจึง) ดวงที่ 2 อยู่ที่แผ่นป้ายบรรพชนที่บูชาที่บ้าน
ดวงที่ 3 (หุน) อยู่อีกโลกหนึ่งอาจอยู่บนสวรรค์………………………………………………………………
… การบูชาบรรพบุรุษเกิดจากความเชื่อที่ว่าเมื่อปฏิบัติต่อบรรพบุรุษดีและถูกต้องสม่ำเสมอ
บรรพบุรุษก็จะคุ้มครอง ช่วยเหลือทำให้ร่ำรวยมีความสุข เรื่องบูชาบรรพบุรุษ
และหาทำเลที่สร้างที่ฝังศพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่เรียกว่า ฮวงจุ้ยคนตาย
หรือ ฮวงซุ้ย ที่ทำให้ได้รับการ
สืบทอดต่อๆ กันมาเพราะมีแนวคิดเกี่ยวกับการบูชาบรรพบุรุษ ความเชื่อเรื่องของวิญญาณ
ชาติภพ
ฮวงจุ้ยจึงเป็นเหมือนวิธีการที่จะปฏิบัติต่อบรรพบุรุษในการหาทำเลที่ดีที่สุดเพื่อฝังสุสาน
เมื่อมีทำเลดีจะส่งผลต่อลูกหลานให้เจริญรุ่งเรือง ทำให้ฮวงจุ้ยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมจีน
ที่กระทำสืบต่อกันมาควบคู่กับชนชาติจีนฮวงจุ้ยเป็นแนวคิดที่สั่งสมความรู้ของนักปราชญ์จีน
ในอดีตมาเป็นลำดับ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การที่จะเข้าใจภาพรวมต้องทราบถึงวิวัฒนาการ
ของศาสตร์ฮวงจุ้ยมีลำดับเหตุการณ์การประวัติฮวงจุ้ย โดยแบ่งออกเป็นราชวงศ์
และเหตุการณ์
ที่เกี่ยวข้อง เริ่มจากยุคต้นประวัติศาสตร์ โดยนับย้อนกลับไปประมาณ 5000-7000
ปี ก่อนโดยมี
กษัตริย์องค์หนึ่งได้หาคำตอบกฎเกณฑ์ของธรรมชาติกล่าวได้ว่าปรัชญาจีนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ประวัติศาสตร์ฮวงจุ้ย2
|
1111111111111111111111111111111111 |
|
1111111111111111111111111111111111 |
|