ฮวงจุ้ยมีการเชื่อมโยงลัทธิความเชื่อของจีนสั่งสมมาเป็นทอดๆ เริ่มจากอุดมคติความเชื่อเรื่องการมองโลกเป็นผลสะท้อน
ของนักคิดนักปรัชญาในลัทธิต่างๆ ลัทธิที่มีบทบาทสำคัญต่อหัวใจหลักของ ฮวงจุ้ยคือ
ลัทธิ หยิน – หยาง มีรากฐานมาจาก
ดาราศาสตร์ โดยพยายามอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
กับธรรมชาติ ดูเหมือนว่าฮวงจุ้ย
เริ่มต้นมาจากศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ และแนวคิดเรื่องความตรงข้ามสอง
สิ่งที่เกื้อหนุนกันเกิดสมดุลย์ และเชื่อว่าสิ่งหนึ่ง
เกิดจากอีกสิ่งหนึ่งเสมอ เป็นแกนหลักที่แทรกซึมไปทุกเรื่องในการอธิบายกฎเกณฑ์ฮวงจุ้ย
ย้อนกลับไปเรื่องของการมองโลก
ของจีนซึ่งชาวจีนมองว่าทุกสรรพสิ่งหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เดียว ศูนย์กลางทุกสิ่งคือจักรวาล
ความเชื่อเช่นนี้มันสะท้อน
ให้เห็นว่าชาวจีนมีกรอบความคิดที่กว้างครอบคลุมสิ่งที่อยู่ภายนอกและสิ่งที่อยู่ภายในร่างกายรวมไปถึงภายในจิตใจของเรา
และพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์ดังกล่าวเข้าด้วยกัน ด้วยความเชื่อที่ว่าวัตถุใดๆที่อยู่ภายในจักรวาลย่อมส่งกระทบซึ่งกัน
และกัน ผลกระทบของดวงดาวส่งผลต่อดวงดาวด้วยกัน ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต ซึ่งแต่ละอย่างเมื่อแยกส่วนดูแล้วจะทำงานที่แตกต่าง
กัน ดวงดาวก็หมุนตามวงโคจร ธรรมชาติก็มีวัตจักรชีวิตของตนเอง ทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัยในการเกิดแต่สามารถหลอมรวม
เป็นหนึ่งเดียวได้ ผมคิดว่าธรรมชาติได้สร้างมนุษย์ด้วยกฎเกณฑ์นี้เช่นเดียวกัน
ดูจากอวัยวะภายในซึ่งทำงานแตกต่างกัน
แต่สามารถทำงานประสานสอดคล้องกัน เหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้านับหมื่นนับล้านดวงรวมอยู่ในจักรวาลเดียวกัน
ย่อมต้องส่งผลถึงกันและกัน และแน่นอนสิ่งมีชีวิตก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลดวงดาวก็ย่อมต้องส่งผลกระทบถึงอย่างแน่นอน
ระบบการทำงานของร่างกายสิ่งมีชีวิตสะท้อนถึงระบบจักรวาลและระบบจักรวาล
สะท้อนถึงการมองโลกของมนุษย์ สะท้อนถึงความ
แตกต่างกันของมนุษย์การอยู่รวมกันของสังคม และในสังคมก็มีความแตกต่างแต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลย์โดยมีการคาน
อำนาจกันระหว่างความดีความเลว ถูก - ผิด มืด – สว่าง รุ่งเรือง – ตกต่ำ
การเกิด – การดับ อ่อนแอ – เข้มแข็ง ซึ่งปรากฎการณ์
ทั้งหมดในสังคมล้วนเป็นสิ่งที่เป็นจริงทั้งสิ้น และเป็นด้านคู่ที่ตรงข้ามกัน
ลัทธิหยิน – และหยาง จึงฟังดูมีเหตุผลสะท้อนความเป็น
จริงของสรรพสิ่ง เมื่อลองค้นหาคำตอบว่าอะไรที่ไม่มีคู่บ้างเอาเข้าจริงๆมันมักจะมีคู่ต่างอยู่เสมอ
ตัวอย่างใกล้ตัวเรา เช่นสะดือคนเรา
หากมองโดยกายภาพมันมีอยู่คนละหนึ่งเหมือนกัน คงนอกเหนือกฎของหยินหยางแต่มองย้อนกลับไปเมื่อเราอยู่ในท้องแม่
เรารับอาหารทางช่องเปิดทางสะดือ แม่ให้อาหารทางช่องเปิดหรือรก นี่คือคู่ที่แตกต่างคือช่องทางรับกับช่องทางให้นั่นเอง
อีกตัวอย่างหนึ่ง ปากคนเรามีอยู่คนละหนึ่งอาจจะอยู่นอกเหนือกฎของ หยิน
– หยาง แน่นอน ปากเป็นช่องเปิดเพื่อรับอาหารซึ่ง
เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แล้วคู่ต่างของมันก็คือทวารหนักนั่นเอง ซึ่งเป็นช่องทางเปิดเพื่อถ่ายสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างการออกไป
กฎ หยิน – หยาง จึงได้รับการยอมรับในหลักการเป็นหัวใจในการพัฒนาของศาสตร์ฮวงจุ้ยในที่สุด
เมื่อลัทธิความเชื่อเรื่องหยินหยางเป็นที่ยอมรับนำไปสู่การพัฒนาการพัฒนาศาสตร์ฮวงจุ้ยของจีนด้วยแนวคิดเรื่องความสัมพันธ์
ของเทหะวัตถุบนท้องฟ้า ส่งผลต่อคนและส่งผลต่อชะตาคนดูเหมือนว่าการอธิบายทางวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์ว่า
ทำไม่ดวงดาวจึงมีผลต่อชะตาคน โชคลาภ ซึ่งมันบอกไม่ได้และพิสูจน์ได้ยากในเชิงรูปธรรม
ศาสตร์ฮวงจุ้ยได้ใช้เพื่อการเลือกทำเลสร้างเมืองที่เหมาะสม
โดยมีหลักการขั้นพื้นฐานคือด้วยเหตุผลที่เป็นรูปธรรมดังนี้ ด้านหลังต้อง
เป็นภูเขาเพื่อเป็นแนวป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าอื่น ซึ่งในอดีตการกรีฑาทัพมาก่อสงครามต้องอาศัยการเดินเท้าเป็นหลัก
การเดินทางข้ามป่าและภูเขาสูงจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และเต็มไปด้วยอันตรายจากสัตว์ป่า
และโรคระบาดต่าง ๆ ภูเขาจึงเป็นกำแพง
ทางธรรมชาติที่ดียิ่งของเมือง นอกจากนี้ ภูเขายังช่วยบังลมหนาวที่โหดร้ายซึ่งพัดมาจากทางตอนบนของประเทศ
รูปทรงของภูเขาที่ดี
จึงควรสูงสง่าและทอดตัวยาวต่อเนื่อง โอบรอบทางด้านข้างของเมืองไว้ทั้งสองด้านเหมือนเกื่อกม้าหรือเก้าอี้นวมชุดรับแขกที่มีส่วนวางมือ
ซ้ายขวา ส่วนด้านหน้าของเมืองจะเลือกชัยภูมิที่ติดกับแม่น้ำ เพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรมและระบบชลประทาน
โดยรูปทรงของแม่น้ำ
ที่ดีจะต้องมีลักษณะโค้งโอบตัวเมือง สาเหตุเพราะว่าการไหลของน้ำก่อให้เกิดการกัดเซาะผืนดินที่อยู่ทางด้านนอกของโค้งน้ำทำให้ที่ดิน
หดหายเข้าไปตลอดเวลา ซึ่งมีผลต่อสิ่งปลูกสร้างในบริเวณนั้นดังที่เคยทราบข่าวบ้านในแถบริมฝั่งแม่น้ำทรุดตัวถล่มลงไปในนน้ำหลาย
สิบหลังในขณะเดียวกัน แผ่นดินฝั่งภายในของโค้ง กลับจะมีที่ดินงอกเพิ่มขึ้น
จากการที่แม่น้ำได้นำตะกอนมาสะสมตังในบริเวณนี้
จึงทำให้เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะต่อการเพาะปลูกและอยู่อาศัยโดยหลักพื้นฐานการเลือกทำเล
ก็มาจากหลักทางกายภาพ อยู่สบาย
ปลอดภัย ที่ฮวงจุ้ยเข้ามาเกี่ยวของอย่างชัดเจนคือเรื่องการจัดผังทำเลในพื้นที่ภายในว่าผู้อยู่อาศัยต้องปรับตำแหน่งทิศใดจึงจะเหมาะสม
กับชะตาเกิดของตนเองเพื่อจะส่งเสริมให้ชะตารุ่งเรือง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรมแทบทั้งสิ้นหากมองในเชิงวิทยาศาสตร์
ต่อมาศาสตร์ฮวงจุ้ยได้พัฒนาขึ้นจากการสังเกตของปราชญ์ในอดีต
ว่าเพราะเหตุใด ภูเขาสองลูก หรือที่ดินสองแปลงที่อยู่ในบริเวณใกล
้เคียงกันได้รับลมและฝนจากธรรมชาติอย่างเท่าเทียม ภูเขาหรือที่ดินหนึ่งจึงอุดมสมบูรณ์
ในขณะที่ภูเขาหรือที่ดินอีกแปลงหนึ่งกลับแห้งแล้ง
เริ่มต้นจากการสังเกตเปรียบเทียบตามขบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อหาคำตอบเรายังพอจะมองภาพได้ชัดเจนว่าฮวงจุ้ยมีจุดเริ่มต้น
จากการตั้งสมมุติฐาน และมีการพิสูจน์เพื่อหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงพบคำตอบว่าดังนี้
ปราชญ์จีนโบราณจึงได้เริ่มสัมผัสถึงพลัง
บางอย่างที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมและทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อกันและกัน
พลังนี้ถูกเรียกว่า ปราณชี่ (ภาษาแต้จิ๋วอ่านว่า ขี่)
สอดคล้องกับการค้นพบของ โยคี ในอินเดียที่เรียกว่า ปราณจักร ในวิชาโยคะ
และในโลกตะวันตกที่เรียกว่า พลังชีวิต หรือ พลังออร่า
ถ้าเป็นในไทยเรียกพลังจักรวาล การอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะชัดเจนขึ้น
จากลัทธิ หยิน – หยาง ความเชื่อเรื่องการมองโลก
และความเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งย่อมส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ด้วยพลัง ชี่ หรือ
ออร่าในกายเรา หลักทางวิทยาศาสตร์อธิบายต่อว่า พลังชี่
หรือปราณชี่ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต
ทั้งมนุษย์สัตว์ พืช ก้อนหิน โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องจักร เสาไฟฟ้า
ดิน น้ำ ถนน บ้าน และทุก ๆ อย่าง ต่างส่งพลังออกมากระทบเข้ากับพลังของสิ่งอื่น
ๆ ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์สามารถให้คำอธิบายบางประการ
สำหรับเรื่องนี้ คือ กฎแรงดึงดูดระหว่างวัตถุ ในวิชาฟิสิกซ์ ที่กล่าวว่าวัตถุทุกชนิดมีแรงดึงดูดระหว่างกัน
วัตถุที่มีขนาดใหญ่จะมีแรงดึงดูด
มาก เช่น พระอาทิตย์มีแรงดึงดูดโลกไว้ไม่ให้หมุนหลุดวงโคจรออกนอกจักรวาล
และระยะทางยิ่งใกล้ยิ่งมีแรงดึงดูดมาก เช่น ดวงจันทร
์แม้จะมีขนาดเล็กแต่อยู่ใกล้โลก กลับมีแรงดึงดูดต่อน้ำบนโลกมากกว่าพระอาทิตย์ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงได้
นอกจากนี้การท
ี่เรายืนหรือนั่งอยู่ในขณะนี้ได้ก็เพราะแรงดึงดูดที่โลกมีต่อตัวเรา หากไม่มีแรงดึงดูดนี้เราก็จะลอยได้เหมือนอยู่ในอากาศ
นักปราชญ์ของ
จีนโบราณพบว่าโลกมีพลังงานที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าห่อหุ้มอยู่ โดยกระแสพลังพุ่งมาจากด้านทิศใต้ไปทางทิศเหนือที่เรียกว่าเส้นแรง
ของแม่เหล็กโลก ไม่ใช่จากเหนือไปใต้อย่างที่เราเข้าใจ โดยจะสังเกตพบว่าเข็มทิศในปัจจุบันที่เราใช้กันอยู่นั้น
ตัวหัวเข็มสีแดงที่เป็น
ขั้วบวก จะชี้ไปทางทิศเหนือ ซึ่งแสดงว่าขั้วโลกเหนือเป็นขั้วลบ เพราะแม่เหล็กขั้วต่างกันจึงจะดูดกัน
ดังนั้นขั้วโลกจึงเป็นขั้วบวก และตาม
กฎทางวิทยาศาสตร์ พลังของแม่เหล็กจะออกจากขั้วบวกไปยังขั้วลบเสมอ แสดงว่าพลังวิ่งจากขั้วโลกใต้ไปสู่ขั้วโลกเหนือ
ตามที่ชาวจีนโบราณ
ค้นพบ นักวิทยาศาสตร์ของจีนในยุคนั้นจึงได้ออกแบบเข็มทิศให้ชี้ไปทางทิศใต้แทน
และได้แนะนำให้จักรพรรดินั่งหันหน้าไปทางทิศใต
้ขณะขึ้นว่าการบนบัลลัง เพื่อรับพลังจากแม่เหล็กโลก นอกจากนี้ยังมีปฏิกิริยาที่ก่อเกิดจากพลังธรรมชาติของเหล็กอื่นอีกหลายชนิด
ที่ส่งผล
ให้เกิดความเป็นไปต่างๆในโลก ตัวอย่างเช่น พลังงานของพระจันทร์ ที่มีผลต่อน้ำขึ้น-น้ำลงทั่วทั้งโลกวันละ
2 ครั้ง และยังส่งผลมายังเลือด
ในตัวของมนุษย์ ซึ่งเป็นน้ำที่มีน้ำหนักกว่าร้อยละ 80 ของร่างกาย โดยทำให้วงจรพลังงานในตัวผู้หญิงขับถ่ายเลือดเสียที่เกิดจากการสุกของ
ไข่ออกจากร่างกายทุก 28 วัน เท่ากับอัตราการหมุนของพระจันทร์รอบโลก 1 รอบ
พอดี คนโบราณเข้าใจถึงความสัมพันธ์นี้จึงตั้งชื่อเลือดนี้ว่า
“ประจำเดือน” เพราะเดือนแปลว่าพระจันทร์ และยังมีอิทธิพลต่อเพศชายไม่น้อยกว่ากัน
โดยกระตุ้นฮอร์โมนเพศที่อยู่ในเลือดให้เกิด
ความต้องการมากขึ้นเป็นพิเศษในวันพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจยืนยันพบว่า
สถิติอาชญากรรมทางเพศจะเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า
เสมอ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ ส่วนสัตว์หลายชนิดก็จะผสมพันธ์กันเฉพาะวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น
เช่น ปู ม้าน้ำ ปลาบางประเภท
เป็นต้น
พระจันทร์ซึ่งเล็กกว่าโลกหลายสิบเท่าและห่างออกไปจากโลก
เป็นระยะทางหลักล้านกิโลเมตร ยังสามารถส่งอิทธิพลมาสู่มนุษย์ทั้งชายและ
หญิงได้มากถึงเพียงนี้ แล้วในกรณีของโลกซึ่งใหญ่กว่าพระจันทร์ และอยู่แนบชิดกับตัวมนุษย์ทุกคน
จะมีพลังงานที่ส่งอิทธิพลต่อตัวมนุษย
์สักเพียงใด มีข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ แม่เหล็กย่อมมีอิทธิพลต่อเหล็กเสมอ
และธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักในเลือดของมนุษย์ ก็คือ
ธาตุเหล็ก และในร่างกายคนเราก็มีประจุไฟฟ้าวิ่งอยู่ทั่วร่างกาย เช่น การหดคลายกล้ามเนื้อ
ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อนเพื่อควบคุม
การทำงานให้เป็นปกติ นั่นเอง ซึ่งโลกของเราก็เต็มไปด้วยพลังแม่เหล็กห่อหุ้มอยู่
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดปราชญ์จีนสมัยโบราณ
จึงใช้เข็มทิศ มาวิเคราะห์หาทิศทางของพลังงานที่ดีของบ้านแต่ละหลัง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้พลังงานในตัวของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น
ให้เข้มแข็ง
แต่นักปราชญ์จีนรู้ได้อย่างไรว่าคนๆนั้นจำต้องอยู่ในตำแหน่งนั้นๆเพื่อรับพลังชี่หรือพลังออร่า
จึงจะทำให้สมองปลอดโปร่งแจ่มใส ร่างกาย
แข็งแรง สามารถออกไปต่อสู้กับโลกภายนอกได้อย่างมั่นคง การคิดและตัดสินใจถูกต้อง
ทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น อีกทั้งพลังงานที่ดี
ในตัวก็จะดึงดูดบุคคลที่มีพลังดีด้วยกันเข้ามา ตามกฎของธรรมชาติ...แม่เหล็กย่อมดูดเหล็กเสมอ
พลังดีย่อมดึงดูดพลังดี นำมาซึ่งโอกาสที่ดี
ีเข้ามาสู่ชีวิต ในทางตรงกันข้าม หากคนมีพลังที่อ่อนแอย่อมส่งสัญญาณดึงดูดเอานักล่าหรือคนไม่ดี
ให้เข้ามาเอาเปรียบผู้นั้น เหมือนดั่งปลา
ฉลามที่จะดักจับสัญญาณและจู่โจม เฉพาะสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บอ่อนแอ ทำให้ชีวิตมักประสบแต่ความล้มเหลว
เกิดความเครียด ทำให้สุขภาพ
เสื่อมโทรม ด้วยเหตุผลที่ว่ามนุษย์แต่ละคนเกิดมาคนละช่วงฤดูกาล ซึ่งพระอาทิตย์ทำมุมต่อโลกในองศาที่ไม่เท่ากัน
จึงได้รับพลังแรกในยามที่ออกจากท้องมารดาประจุเข้าไปในตัวเราที่แตกต่างกันทั้งชนิดและคุณภาพ
ดังนั้นทิศทางที่ควรนั่งหรือนอนสำหรับ
แต่ละปัจเจกบุคคลย่อมแตกต่างกัน เพื่อหันรับพลังงานในทิศทางชนิดที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ ตั้งเจ้าที่ ศาลพระภูมิ
การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การติดยันต์ เสือคาบดาบตามทางสามแพร่งหรือพิธีกรรมใดๆ
เพราะสิ่งเหล่านั้นคือไสยศาสตร์ ลัทธิ ศาสนา วัฒนธรรม
และ ความเชื่อ ที่ปะปนมากับบุคคลต่างๆ ที่เข้ามาศึกษาศาสตร์ฮวงจุ้ยในรุ่นหลัง
ซึ่งขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วนำสิ่งเหล่านี้เข้าผสมปน
เปื้อนและบิดเบือน ให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดมาจนถึงในปัจจุบัน หากเรามีประสาทสัมผัสที่ละเอียดอ่อน
หรือได้รับการฝึกทักษะทางด้านนี้อย่าง
จริงจัง เราก็จะสามารถสัมผัสพลังของวัตถุรอบตัวที่ส่งมาถึงเราได้เหมือนอย่างนักดนตรี
ที่พัฒนาหูให้ได้ยินโน๊ตทุกตัวจากเครื่องดนตรีหลายชิ้น
ที่บรรเลงพร้อมกัน ประสาทสัมผัสส่วนนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนมีมาตั้งแต่เกิด
ซึ่งเหมือนกับสัญชาติญาณในสัตว์บางชนิด ที่รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดแผ่นดิน
ไหวหรือน้ำท่วม โชคไม่ดีที่วิธีการศึกษาในระบบโรงเรียนของเรา กลับกดประสาทสัมผัสส่วนนี้เอาไว้
ในมนุษย์พลังชี่ จะกระจายออกมารอบ
ตัวประมาณ 1 เมตร โดยมีรูปแบบการกระจาย ความเข้มแข็ง และคุณภาพแตกต่างกัน
ทำให้แต่ละบุคคลมีบุคคลิกและนิสัยแตกต่างกันไป
พลังเหล่านี้ยังแสดงออกมาผ่านทางความเคลื่อนไหวของร่างกาย การเดิน วิธีพูด
รวมทั้งลักษณะต่างๆบนใบหน้า จะทำให้เราทราบถึงวิธีการคิด
ทัศนะคติ ซึ่งเป็นเข็มทิศให้พยากรณ์ ได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร เช่นคนที่มีพลังชี่ร้อนแรงแต่ขุ่นมัวพลังม้วนเอียง
ย่อมเป็นผู้ที่มองโลกใน
แง่ร้ายอย่างมาก จึงมีแนวโน้มที่จะอยู่อย่างเดียวดายในวัยชรา อีกกรณีปราณชี่ของมหาบุรุษ
อย่างพระพุทธเจ้า หรือพระเยซู มีพลังปราณชี่อัน
บริสุทธ์ จนเปล่งออกมารอบศรีษะให้คนทั่วไปได้เห็น
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เราติดตามร่องรอยของพลังปราณชี่ได้อย่างมีระบบ
โดยมีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มได้พัฒนาเทคนิค
การถ่ายภาพพลังชีวิตไว้ได้ เรียกเทคนิคการถ่ายภาพเคอเรียน สามารถถ่ายรูปพลังชีวิตที่ออกมาจากฝ่ามือ
ใบไม้ ก้อนหิน วัตถุต่างๆ สนับสนุน
ความเชื่อเรื่องของพลังบางอย่างที่ดึงดูดวัตถุเอาไว้ด้วยกัน ส่วนอีกวิธีหนึ่ง
ใช้การผ่านกระแสไฟฟ้า อย่างอ่อนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้สามารถถ่ายภาพ
พลังงานที่เปล่งออกมาจากตัวมนุษย์ได้ เรียกว่าเทคนิคการถ่ายภาพออร่า สามารถอ่านผลพลังงานแสดงออกเป็นสีต่างๆ
ได้อย่างน่าสนใจ
เมื่อมนุษย์และสิ่งรอบข้างส่งพลังปราณชี่ถึงกัน หากมีปราณชี่ที่ไม่ดีส่งมากระทบตัวเราตลอดเวลาย่อมส่งผลต่อร่างกายที่พอจะยอมรับในหลักการได
้แต่มีการเชื่อมโยงไปถึงโชคลาภ ชะตาชีวิต ซึ่งก็ยังไม่มีการทดสอบและเปรียบเทียบในเชิงวิทยาศาสตร์ให้เห็นอย่างชัดเจน
ตัวอย่างที่มีการพูดถึง
กันมากซึ่งถือเป็นกรณีอมตะที่สุดของหลักฮวงจุ้ยคือ การนอนใต้คาน ซึ่งจะมีพลังงานจากคานกดทับพลังปราณชี่ที่แผ่กระจายออกจากร่างกาย
เมื่อมีการนอนทุกครั้ง เป็นระยะเวลานานๆจะทำให้เกิดอาการปวดหัวโดยไม่ทราบสาเหตุ
บางครั้งอาจส่งผลทางอ้อม ทำให้ด้านความคิดของเราไม่แจ่มใส
นอนหลับไม่สนิท ส่งผลให้การงานไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ได้มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์
วัดผลก่อนการย้ายตำแหน่งนอน ก่อนและหลังย้ายตำแหน่ง
บางคนนอนใต้คานรู้สึกอึดอัด ปวดหัว หลังจากย้ายแล้วปัญหาดังกล่าวหายไป
ได้มีการทดสอบพลังงานของคานโดยนำเข็มทิศเข้าใกล้คาน จะทำให้เข็มทิศ
เบี่ยงเบนไปทันที เนื่องจากคานประกอบด้วยเหล็กเส้นจำนวนมาก แสดงว่าคานมีคลื่นพลังงานบางอย่างอยู่จึงส่งผลให้เข็มทิศเบี่ยงเบนไป
นักวิทยาศาสตร์
์ยังได้ศึกษารูปทรงของปิรมิด พบว่าสามารถรวมพลังงานจากสิ่งแวดล้อมมาเก็บไว้ยังใจกลางของรูปทรงได้
ซึ่งเป็นสถานที่เก็บร่างของฟาโรห์ไม่ให้เน่าเปื่อย
สลายไป ซึ่งได้ทดลองสร้างปิรามิดจำลองขึ้นด้วยแผ่นอคลิลิคใส แล้วนำผลไม้ไปวางไว้ตรงกลาง
พบว่าผลไม้เก็บไว้ได้นานกว่าปกติไม่เน่าเสีย แต่จะแห้งไปเนื่องจากการคายน้ำเท่านั้นต่างจากผลไม้ชนิดเดียวกันแต่อยู่ในรูปทรงอื่น
ในปัจจัยทางสภาวะเดียวกันเช่น อุณหภูมิ ความชื้น สภาพแสง
ผลที่เกิดขึ้นคือการเน่าเปื่อยผุพังตามธรรมชาติ แต่ยังไม่สามารถสรุปผลได้ว่า
มีพลังงานใดมีความสัมพันธ์กับรูปทรงปิรามิด แล้วส่งผลให้เกิดปรากฎการ
ดังกล่าวด้วยวิธีการใด เพียงแต่รู้ว่ามี รูปทรงนี้ส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์นี้เท่านั้น
ปราชญ์จีนได้มีการค้นพบพลังกระแสแม่เหล็กโลกก่อให้เกิดปราณชี่กว่า 8 พลัง
24 ทิศทาง และ 60 ปฏิกิริยา มีผลกระทบต่อมนุษย์แตกต่างกัน หลักฐานทางวิทยาศาสตร์พอจะเทียบเคียงได้เพื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้
ได้แก่ การค้นพบว่าในตัวมนุษย์มีกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน อยู่ภายในตัว ทั้งขั้วบวก
และลบ ถ้าประจุไฟฟ้ามีการจัดเรียงตัวเป็นระเบียบ ก็จะทำให้โลหิตไหลเวียนดี
สุขภาพแข็งแรง แต่เมื่อใดที่เกิดการเรียงตัวสับสนไม่เป็นระเบียบ
ก็จะเกิดการเจ็บป่วย โดยตรวจไม่พบจากสาเหตุอื่น ในกรณีนี้ทางการแพทย์จะใช้อุปกรณ์แม่เหล็ก
เช่นเตียงแม่เหล็ก หมอนแม่เหล็กมาบำบัด
ความเจ็บป่วยเพื่อให้ประจุไฟฟ้าจัดเรียบตัวใหม่ให้เป็นระเบียบซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ป่วยพ้นจากทุกข์ทรมานได้
กระแสแม่เหล็กโลก สามารถสั่งให้เข็มทิศชี้ไปทางทิศเหนือตลอดเวลาได้ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลก
ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงย่อมต้องส่งผลบต่อรูปแบบการจัดเรียงตัวของประจุ
ในร่างกายมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ยังแนะนำให้นอนหันหัวไปทางทิศเหนือเพื่อไม่ให้นอนขวางเส้นทางของกระแสแม่เหล็กโลก
แต่ฮวงจุ้ยได้พัฒนา
ไปไกลกว่านั้น โดยสามารถคำนวณทิศทางกระแสพลังที่สอดคล้องกับแต่ละบุคคลอย่างเฉพาะเจาะจง
เพื่อให้เกิดผลดีที่สุด จึงเป็นที่มาว่าทำไมคนๆ
หนึ่งต้องมีการหันหัวนอนทิศนี้ ประตูทิศนั้น เตาไฟอิกทิศทางหนึ่งที่มีการกำหนดเป็นปฎิกริยาทั้ง
8 ทิศ ที่ส่งผลต่อคนไม่เหมือนกัน
ด้วยทฤษฎีดังกล่าวสะท้อนไปถึงการมองโลกของคนและหลักการที่เกิดขึ้นเป็นภาพสะท้อนวิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์
เปรียบเทียบกับหลักการของฮวงจุ้ย
เช่น การประจุไฟฟ้าเข้ากับ แบตเตอรี่ที่มีกำลังไฟอ่อนลงแล้วนำมาประจุไฟฟ้าใหม่
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีการจัดเรียงข้อมูลเพื่อให้ใช้งานได้สมบูรณ์ที่สุด
คอมพิวเตอร์มีส่วนประกอบที่กลไกที่ซับซ้อนทำงานร่วมกันเป็นระบบโดยมีกระแสไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อน
เปรียบกับปราณชี่ในหลักของฮวงจุ้ยเป็นพลังประจุ
ของสรรพสิ่งในโลก ระบบต่างๆของคอมพิวเตอร์ก็เปรียบเสมือนความสัมพันธ์กันระหว่างดวงดาวบนท้องฟ้า
สภาพแวดล้อม สังคม และคน ที่อยู่ร่วมกันทำหน้าที่
แตกต่างกันแต่สัมพันธ์กันเป็นหน่วยเดียว
โดยการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์เราจะพอมองเห็นภาพว่าแน่นอนวัตถุมีพลังดึงดูซึ่งกันและกัน
มีการทดลองชัดเจนโดยเห็นเป็นรูปธรรม แต่เมื่อเจาะลึกลง
ไปแล้วก็ยังไม่มีการทดลองใดสามารถตอบได้ว่าเมื่อเราอยู่ในตำแหน่งถูกทิศทางแล้วจะนำโชคลาภมาได้อย่างไร
หากอธิบายให้เห็นในรูปธรรม ว่าเมื่อสุขภาพแข็งก็ย่อมมีกำลังที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆที่เข้ามาในชีวิต
และย่อมประสบความสำเร็จในที่สุด ดูเหมือนว่าการอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์
จะสามารถอธิบายได้ในเชิงกายภาพเท่านั้น ยังไม่สามารถอธิบายได้ในส่วนของจิตใจ
การอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์จึงเป็นการอธิบายเพียงมิติเดียว
ซึ่งการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เริ่มจะเปิดกว้างครอบคลุมไปในเรื่องของจิตวิญญาณ
และในเรื่องของสังคมว่าส่งผลกระทบอย่างไร โดยจะมีเรื่องที่ต้องพิจารณา
ประกอบกันเป็น 4 ส่วนคือ ทางกายภาพ ทางจิตใจ ทางจิตวิญญาณ และทางสังคม
ซึ่งทางกายภาพได้อธิบายไปในตอนต้นแล้วในเชิงวิทยาศาสตร์แต่ยังไม่
่สามมารถอธิบายได้ทั้งหมด
ทางด้านจิตใจการมีศรัทธา มนุษย์เรามักจะกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ เมื่อไม่รู้จึงเกิดความลังเล
ไม่มั่นใจในสิ่งที่จะทำจึงพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ
เพื่อมาเติมเต็มให้เกิดความมั่นใจ ความศรัทธาสิ่งใดก็ตามมันจะไปกำหนดกรอบความคิดของคนๆนั้นให้ครอบอยู่ในความเชื่อซึ่งมันจะเป็นพลังลึกลับที่มอง
ไม่เห็นกำหนดความคิดและวิถีชีวิตของคนๆนั้น ให้เป็นไปตามสิ่งที่เขาเชื่อ
พลังลึกลับนี้ผมอนุมานว่าน่าจะเป็นพลังงานด้านบวกที่แผ่ออกสู่ร่างกายคือพลังแห่ง
ความเชื่อมั่นและศรัทธาหรือพลังปราณชี่ หรือออร่านั่นเอง มีคำกล่าวที่ว่าเมื่อเราคิดสิ่งใดบ่อยๆสิ่งนั้นจะมาหา
ยกตัวอย่างผู้หญิงตั้งครรภ์ อยากให้ลูก
ที่เกิดมาจมูกโด่งเหมือนเด็กฝรั่งจึงซื้อภาพของเด็กฝรั่งมาติดไว้ในห้องนอน
เอาไว้ดูก่อนนอนทุกคืน ปรากฎว่าเมื่อเด็กคลอดออกมา หน้าตามีส่วนคล้ายกับ
เด็กที่อยู่ในภาพ และมีจมูกที่ค่อนข้างโด่ง ซึ่งน่าแปลกที่การกระทำข้างต้นมีผลถึงเพียงนี้เพราะเหตุผลใด
อำนาจของจิตใจและความปรารถนามีอนุภาพกำหนด
ทั้งกรอบความคิด กำหนดทางกายภาพส่งผลให้ระบบในร่างกายตามตัวอย่างที่อธิบาย
สร้างขบวนการที่ตอบสนองความต้องการของจิตใจ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ตาม
ที่ใจต้องการ ดูเหมือนว่า แค่เรามีความมั่นใจเราก็สามารถทำได้ทุกสิ่ง เป็นจริงเลยทีเดียว
ในที่นี้การศรัทธาในเรื่องฮวงจุ้ยจะเป็นแรงขับให้สิ่งที่ปรารถนานั้น
เกิดได้เร็วขึ้น ด้วยหลักการทางกายภาพที่ได้อธิบายมาแล้วข้างต้น สืบเนื่องกับการที่มีความศรัทธาจะเป็นส่วนขยายที่อธิบายเรื่องของการมีฮวงจุ้ยที่ดีจะนำโชคลาภ
มาให้ เหมือนกับการที่เรามีความมุ่งมั่นพลังปราณชี่จะแผ่ออกรอบตัวร่างกายความปรารถนาที่ดีจะเหนี่ยวนำสิ่งที่ดีเข้าหาตัว
แต่การปรารถนาที่ไม่ดีก็ย่อมเหนี่ยวนำ
สิ่งที่ไม่ดีเข้าหาตัวเช่นกัน พลังคลื่นออร่าทางวิทยาศาสตร์เรียกอีกอย่างว่าพลังแห่งจิตใจการอธิบายในเชิงจิตใจจึงสอดคล้องกับการอธิบายทางกายภาพ
ด้วยเหตุนี้
ความศรัทธายังแบ่งประเภทออกได้หลายประเภทแต่ละประเภทมีเจตนาและความมุ่งหวังแตกต่างกันไป
จำแนกออกได้ดังนี้
- การศรัทธาเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ ความศรัทธาประเภทนี้
มุ่งประโยชน์ส่วนตัว คือขอให้ตนได้รับประโยชน์เท่านั้นเป็นพอ แม้ว่าคนเหล่านี้จะใช้ศรัทธาให้
้เกิดประโยชน์ แต่ไม่ได้รู้เรื่องความกตัญญูกตเวที ก็จะได้รับประโยชน์ในระยะเวลาอันสั้น
- ความศรัทธาประเภทคล้อยตามความเจริญ หมายถึงว่าศรัทธาไปตามกระแสสังคม
ไม่ได้รับรู้และมาจากส่วนลึกภายในจิตใจก็จะได้รับผลในระยะเวลาอันสั้น
ศรัทธาแบบขอบคุณอย่างเดียว คล้ายกับว่าไม่หวังผลตอบแทนแต่มีจิตใจคับแคบไม่ช่วยเหลือผู้อื่นเลยจึงเหมือนกับต้นไม้แห้งผลที่ได้รับก็เกิดขึ้นในระยะ
เวลาอันสั้นเช่นกัน
- ศรัทธาในการเชิญเจ้าเข้าทรงความศรัทธาแบบนี้ ชอบการเชิญเจ้าเข้าทรงอย่างไม่ลืมหูลืมตา
นอกจากจะเข้าไปมีส่วนยุ่งกับการทรงเจ้าเข้าผีแล้ว ยังอยากรู้อยาก
เห็นเกี่ยวกับโลกวิญญาณมาก การกระทำเช่นนี้มิใช่สิ่งเลวร้าย แต่เป็นเดรัจฉานวิชานั่นเอง
- ศรัทธาเพื่อมุ่งหวังประโยชน์ คือใช้สิ่งที่ศรัทธาเป็นเครื่องมือที่แสวงหาประโยชน์
- ศรัทธาแบบเห็นแก่ได้ เป็นความศรัทธาที่ต้องการให้ได้ฝ่ายเดียว
- ศรัทธาเพื่อสนองความอยาก เป็นศรัทธาที่ตื้นเขิน ไม่สามารถตัดขาดความเห็นแก่ตัวได้
คือความต้องการที่ยิ่งใหญ่ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากให้ผู้อื่นพูดถึงตนเอง
ในทางที่ดี เป็นศรัทธาในระดับต่ำ
- ศรัทธาแบบขยักขย่อน เป็นแบบอยู่ดีๆก็หมดศรัทธา ไปแล้วอยู่ดีๆก็กลับมาศรัทธาใหม่
กลับไปกลับมาเหมือนวิญญาณเร่ร่อน
- ศรัทธาหลายใจ เป็นการศรัทธาหลายอย่างลองไปเรื่อยๆ
- ศรัทธาแบบใช้พระเป็นเครื่องมือ นำความเชื่อมาเป็นเครื่องมือของตน
- ศรัทธาจอมปลอม แสดงออกแต่เฉพาะภายนอกเท่านั้น ในจิตใจมิได้ยอมรับ
จะเห็นได้ว่าความศรัทธายังแบ่งรายละเอียดออกไปแล้วแต่ปัจจัยที่ส่งผล โดยรวมแล้วสะท้อนถึงความเชื่อเรื่องการกระทำดี
การคิดดีย่อมได้รับผลความคิดที่ดีตามมาโดยมีเรื่องของศาสนาเข้าไปมีส่วนด้วยสร้างกรอบความคิดที่เป็นหลักของเหตุและผล
ความเชื่อของชาวจีนที่มีวัฒนธรรมการไหว้บรรพบุรุษและการฝังศพบรรพบุรุษไว้ในสุสานที่มีทำเลถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยแล้วจะนำพาครอบครัวให้มีความสุขโยง
ไปถึงความเชื่อเรื่องของจิตวิญญาณ มีการอธิบายถึงคลื่นทางวิญญาณ ทางญี่ปุ่นเรียกว่า
เรอิ (การแผ่รังสีของวิญญาณ )
มนุษย์เรามีลักษณะกายทิพย์ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับกายเนื้อ ต่างกันแต่เพียงกายทิพย์มี
เรอิ เปร่ง
ออกมา หรือคลื่น ออร่านั่นเองเป็นคลื่นแสงที่เปล่งออกมา จากกายทิพย์ตลอดเวลาห่อหุ้มกายทิพย์ไว้
ถ้าสุขภาพปกติจะมีเรอิ กว้าง 1 นิ้ว เรอิของคนป่วยจะแคบ
และเมื่อจวนตายก็จะสูญไปจนหมดสิ้น ที่กล่าวว่าเงาจางลง คงหมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเนื่องจากเรอิของวิญญาณอ่อนแอลง
ในทางตรงข้าม เรอิของผู้มีสุขภาพ
ดีย่อมกว้างและมีคุณธรรมยิ่งแผ่กว้างสุขใสยิ่งขึ้น ถ้าเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ยิ่งมีเรอิ
กว้างมากขึ้น เมื่อถึงขั้นนักบุญย่อมแผ่กว้างมากที่สุด เรอิสามารถเปลี่ยนแปลง
ได้ทุกขณะ ตามความนึกคิดและการกระทำของแต่ละคน คนธรรมดาจะมองไม่เห็นคลื่นแสงนี้แต่มีเพียงบางคนเท่านั้นที่เห็น
ถ้าทำจิตที่เป็นสมาธิและเพ่งมองดู
ูให้ดีอาจเห็นได้ในระดับหนึ่ง ดูเหมือนว่าวิทยาศาสตร์จะเริ่มสัมผัสได้ถึงโลกแห่งจิตวิญญาณ
สามารถแสดงให้เห็นถึงรังสีที่เกิดจากโลกทางวิญญาณได้ในระดับหนึ่ง เรอิมีส่วนสัมพันธ์กับโชคชะตาของมนุษย์ซึ่งสอดคล้องกับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าเมื่อเราไปอยู่ในตำแหน่งที่ถูกทิศทางตามหลักฮวงจุ้ยแล้วก็จะเหมือนการ
จัดเรียงประจุไฟฟ้าในร่างกายให้เป็นระเบียบ ทำให้คลื่นปราณชี่ เข้มแข็ง
ปราณชี่กับเรอิทางโลกวิญญาณก็คือรังสีชนิดเดียวกันนั่นเอง แต่ทางโลกวิญญาณสามารถอธิบายได้ถึงการนำมาซึ่งโชคลาภที่ทางวิทยาศาสตร์มองว่าเป็นนามธรรม
โดยผมจะอธิบายดังนี้ คือเมื่อเรอิแผ่กว้างมากเท่าใดย่อมหมายถึงการได้รับความสุขมากขึ้นเท่านั้นเมื่อเรอิแคบลงก็จะประสบความทุกข์
สำหรับบุคคลที่มีเรอิกว้าง ย่อมจะทำให้ผู้ที่เข้า
มาคบหาสมาคมด้วยเกิดความอบอุ่น สบายใจ และมีเสน่ห์ดึงดูดใจคนได้เป็นจำนวนมาก
เพราะเรอิของเขาสามารถครอบคลุมผู้ที่เข้ามาอยู่ภายในขอบเขตของรัสมีได้ในทางตรงข้ามบุคคลที่มีเรอิแคบจะแสดงถึงความเย็นชาทำให้ผู้ที่มาติดต่อพบปะรู้สึก
ไม่สบายใจเปล่าเปลี่ยวไม่อยากเข้าใกล้ โดยนัยแล้วการที่พยายามทำให้เรอิมีรัสมีวงกว้างขึ้นถือเป็นพื้นฐานของความมีโชคลาภ
หากพูดเป็นรูปธรรมแล้วเมื่อมีคนอยากเข้าใกล้มากขึ้นความรู้สึกที่ดีๆก็นำไปสู่การให้สิ่งที่ดีตอบแทนโอกาสที่จะมีการนำมาซึ่งการติดต่อกิจการค้าขายก็มากขึ้นตาม
ไปด้วยนั่นเอง ซึ่งเป็นการขยายโอกาสที่ดีของตนเองทางจิตวิญญาณ การที่จะเพิ่มปริมาณเรอิให้มากขึ้นคือเราได้รับจากธรรมชาติอยู่แล้วเพียงแต่ว่าต้องรู้ทิศทาง
ตามหลักฮวงจุ้ย เรอิแปลผันตรงกับเรื่องของความดีความชั่ว เมื่อกระทำดีมีจิตใจดี
เรอิจะแผ่กว้างให้ผู้อื่นรู้สึกได้ หากทำชั่วก็กลับเป็นด้านตรงข้าม ซึ่งทางฮวงจุ้ย
มีปรัชญากล่าวไว้ว่า คนเราจะประสบผลสำเร็จได้มีหลัก 3 ประการคือ
1. คิดดี 2. ทำดี 3. ฮวงจุ้ยดี ดูเหมือนว่าทางฮวงจุ้ยจะให้ความสำคัญกับฮวงจุ้ยเป็นอันดับสุดท้ายเพราะถ้าเราคิดไม่ดี
ทำไม่ดี ก็จะส่งผลกับเรอิในร่างกายสะท้อนออก
มาในแง่ลบ การใช้ฮวงจุ้ยเพื่อประจุไฟฟ้าเข้าไปใหม่ย่อมไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย
การที่คนเราได้รับความสำเร็จขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ต่อมาก็ประสบความล้มเหลวในภายหลังเนื่องจากเหตุผลดังกล่าว
คนเหล่านี้มักเห็นว่าบรรดาความสำเร็จทั้ง
หลายเกิดจากความสามารถ ทักษะ และความพากเพียรของเขาเอง ทำให้เย่อหยิ่ง
อวดดี มีความลำเอียงเข้าข้างตนเอง รวมทั้ง
ครองชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ผลคือมีคนเกรียดชังจำนวนมาก เจตคติเหล่านี้จะไปรวมอยู่ที่เขา
ทำให้เรอิของเขามืดมัวและวงแคบลง จนพบกับความล้มเหลวใน
ชีวิต ผู้มีฐานะสูงในสังคมย่อมได้รับความปราณีในสังคม และชาติ จึงต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการช่วยเหลือสังคมให้มาก
เพราะจะช่วยขจัดเมฆหมอกความขุ่นมัว
ได้ทุกขณะ ส่วนใหญ่มักคิดถึงผลประโยชน์ของตนเอง ในทางจิตวิญญาณถือว่าเป็นคนชั้นต่ำ
ด้วยกฎแห่งจิตครองกาย ในที่สุดจะพบกับความล้มเหลว เมื่อพิจารณาเหตุผลดังกล่าวการที่คนเราทำดีส่งผลให้เรอิมีรัสมีกว้างขึ้น
เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้นั้นมีโชคลาภ สอดคล้องกับหลักศาสนาพุทธที่กล่าวว่า
ทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว สามารถอธิบายเป็นรูปธรรม ด้วยหลักของเหตุผล
การมีอยู่จริงของโลกวิญญาณ รูปร่างต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการคือ วิญญาณและร่างกาย
เมื่อเราตายวิญญาณออกจากร่าง เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตเป็นพลเมือง
ของโลกวิญญาณ ผู้ที่มีคุณธรรมมากวิญญาณจะออกจากร่างทางหน้าผาก คนที่ทำชั่ว
วิญญาณจะออกจากร่างทางเล็บเท้า ส่วนคนธรรมดาวิญญาณจะออกจากร่างทาง
ช่องท้อง ศาสนาพุทธ เรียกการตายว่าการเกิดใหม่ ในที่นี้คือเกิดในโลกวิญญาณนั่นเอง
ซึ่งเป็นความเชื่อเรื่องของบาป บุญ คุณโทษ ของทางเอเซีย จะแบ่งชั้น
ของโลกวิญญาณออกเป็น 3 ขั้น คือ ชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ ชั้นสูงก็คือสวรรค์ในความหมายของพุทธศาสนา
ชั้นกลางคือโลกมนุษย์ ชั้นต่ำคือนรกนั่นเอง ย้อนกลับมาเรื่องการไหว้บรรพบุรุษของตัวเองเป็นผลสะท้อนถึงความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ
ต้องการให้วิญญาณบรรพบุรุษคุ้มครอง หากมองลึกไปกว่านั้นการ
เชื่อมโยงระหว่างวิญญาณบรรพบุรุษ กับลูกหลานที่มีชีวิตอยู่ ต้องมีอะไรที่เชื่อมโยงกัน
ที่เรียกว่าสายใยทางวิญญาณ ซึ่งตัวเราเองมีสายใยทางวิญญาณโยงใยอยู่
หลายเส้นจนนับไม่ถ้วน บ้างใหญ่บ้างเล็ก มีทั้งโยงเกี่ยวกับความดี และความชั่ว
มีอิทธิพลและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมนุษย์เรา เราดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วย
สายใยทางวิญญาณ ในจำนวนสายใยทางวิญญาณ เส้นที่เชื่อมระหว่างสามี ภรรยาจะมีขนาดใหญ่ที่สุด
รองมาคือเส้นที่เชื่อมระหว่างบิดามารดากับบุตร และลำดับ
ไปถึงพี่น้องเครือญาติตามลำดับ ซึ่งมีคำกล่าว เรื่องสายสัมพันธ์ที่เคยเกี่ยวเนื่องกันมาก่อนคงหมายถึงสายใยทางวิญญาณนี้เอง
สายใยจะเปลี่ยนแปลงเสมอ สายใยจะมีระหว่างสามีภรรยาจะสุขใสต่อเมื่อรักใคร่กลมเกลียวกัน
รวมทั้งเราสามารถสร้างสายใยทางวิญญานได้ใหม่เมื่อคนสองคนเกิดรักใคร่กัน
สายใยทาง
วิญญาณจะเหนียวแน่น และจะใหญ่ขึ้นเมื่อมีความรักเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะมีบุคคลที่สามมาแยกก็ไม่สามารถแยกออกได้
กลับดึงให้เข้าใกล้ชิดกันมากขึ้น
ความรักระหว่างชายหญิงเปรียบ ไฟฟ้าขั้วบวก และลบเมื่อสัมผัสกันย่อมเกิดพลัง
ซึ่งกรณีนี้สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นสายฟ้าคือสายใยทางวิญญาณ สายใยที่เกิดจากสาย
เลือดไม่สามารถตัดขาดกันได้ สิ่งที่เป็นข้อสังเกต คือบิดามารดาย่อมคิดถึงลูก
และลูกก็ย่อมคิดถึงบิดามารดา เมื่อทั้งสองฝ่ายสะท้อนความรู้สึกถึงกันและกัน
จะทำให้ลูกรับเอาลักษณะต่างๆของบิดา มารดาเอาไว้ โดยผ่านสายใยทางวิญญาณ
ดังนั้นการที่บิดา มารดาต้องการให้บุตรเป็นคนดีก่อนอื่น ตนเองต้องทำจิตใจ
ให้ดีเสียก่อน การที่ระลึกถึงบิดามารดา ในการไหว้บรรพบุรุษของชาวจีนนั้นเป็นการเชื่อมโยงสายใยระหว่างโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์
ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้จะทำให้สายใยจะขยายใหญ่ขึ้นเป็นกำลังส่งผลถึงการแผ่รังสีของเรอิในด้านดี
ทำให้สว่างสุขใสเพราะเกิดจากทัศนะคติที่ดี
หากจะพูดในเชิงวิทยาศาสตร์คือการไปเพิ่มประจุไฟฟ้าในร่างกายให้มากขึ้น
สามารถเหนี่ยวนำดึงดูดสิ่งดีๆเข้าหาตัวได้มากขึ้น
ในทางจิตวิญญาณเมื่อเรอิในการเข้มแข็งขึ้นก็จะสามารถสะท้อนไปสู่ผู้อื่นให้รับรู้ได้
ถึงความรู้สึกเป็นมิตร ความจริงใจ ทำให้ผู้อื่นอยากเข้าไกล้
เปรียบเหมือนกับการเปิดโอกาสให้กับสิ่งดีๆเข้าหาตัวมากขึ้นนั่นเอง การไหว้บรรพ
บุรุษโดยเชื่อว่าบรรพบุรุษจะคุ้มครอง นั้นสามารถอธิบายได้ในเรื่องทาง
จิตวิญญาณได้ดังกล่าว สายใยทางวิญญาณไม่ได้มีแต่มนุษย์เท่านั้น แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มีสายใยที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์เช่นกัน
ซึ่งจะมีสภาพเป็นแสง
สมาคมคนที่ดีย่อมพากันไปในทางที่ดี ส่วนสมาคมคนชั่วย่อมพากันไปในทางที่ชั่ว
นี่เป็นผลสะท้อนของสายใยทางวิญญาณ การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นนิจ
ทำให้สายใยทางวิญญาณของมนุษย์ได้ชำระให้บริสุทธิ์ นอกจากนี้มนุษย์ยังมีการเชื่อมโยงสายใยทางวิญญาณกับสิ่งของด้วยเช่น
บ้านพักอาศัย ของรักของหวง
ยิ่งโปรดปรานยิ่งมีสายใยทางวิญญาณที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับก็เช่นกัน
การค้นคว้าเรื่องรังสีคอสมิคทางด้านวิทยาศาสตร์ รังสีนี้ก็เปรียบเหมือนสายใยทางวิญญาณเชื่อมโยงระหว่างดวงดาวและโลกนั่นเอง
โลกสามารถอยู่ได้อย่างมั่นคงกลางอวกาศเพราะมีสายใยทางวิญญาณของดวงดาวดึงดูดเอาไว้หลายร้อยหลายล้านสายสุดจะนับได้
เป็นแนวคิดเดียวกับการมองโลกของชาวจีนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลย่อมส่งผลถึงกันและกัน
พลังนี้เรียกว่าปราณชี่ หรือ เรอิ หรือสายใยทางวิญญาณ
ในโลกแห่งจิตวิญญาณล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งเดียวกันที่สามารถอธิบายได้ในหลายมิติ
ทางด้านสังคมมักจะส่งผลต่อทางด้านจิตใจโดยตรงวัฒนธรรมก็มีส่วนอย่างมากในการที่คนๆนั้นจะมีความเชื่อ
และเป็นตัวกำหนดการดำเนินชีวิตของเขาเอง
การยอมรับของกลุ่มคน เช่น ชาวจีนมีความเชื่อเรื่องนี้เป็นพื้นฐาน จะรู้สึกสบายใจเมื่อได้ค้าขายกับผู้ที่มีความเชื่อเหมือนตนเอง
ทำให้ผู้ที่เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยจะได้
้รับความสำเร็จทำกิจการค้ารุ่งเรือง เกาะ ฮองกงทั้งเกาะถูกกำหนดด้วยศาสตร์ฮวงจุ้ย
เหมือนเป็นกฎที่เป็นกรอบความคิดให้คนที่อยู่อาศัยต้องปฏิบัติตาม
เหมือนกับหลักพุทธศาสนา และเป็นหลักที่สอดคล้องกันอย่างมาก ฮวงจุ้ยเป็นศาสตร์ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคน
ซึ่งส่งผลต่อจิตใจโดยตรงจึงได้รับการ
สืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน การที่จะอธิบายในทางวิทยาศาสตร์มิติเดียวจึงไม่สามารถทำได้
และอธิบายได้ชัดเจนนัก การที่จะอธิบายได้อย่างสมบูรณ์
นั้นย่อมต้องอาศัยการมองจากศาสตร์ด้านต่างๆประกอบกัน ซึ่งปัจจุบันวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาขอบเขตไปสู่เรื่องมิติวิญญาณและกำลังศึกษาลึกลงไปเพื่อหา
เหตุผล ซึ่งในอนาคตตัวผมเองคิดว่าศาสตร์ทุกศาสตร์ จะถูกเชื่อมโยงและหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวและในที่สุดศาสตร์ฮวงจุ้ยก็จะสามารถอธิบายได้ชัดเจน
ถึงเหตุผลเป็นรูปธรรมได้ในที่สุด
|