เข้าชมเวปไซท์ได้ที่ www.e-fengshuidesign.com
- ตำนาน ฮวงจุ้ย
การจัดฮวงซุ้ยในประเทศจีนนั้นมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เป็นที่เชื่อกันว่าซินแสดั้งเดิมที่เป็นผู้ค้นพบ
ฮวงจุ้ย คือ อาจารย์หยางยุนซัง อาจารย์หยางได้เขียนตำราเก่าแก่ไว้
และตำรานี้ก็ได้รับการอนุรักษ์และศึกษากันต่อๆ มาจนถึงปัจจุบันนี้ อาจารย์หยางเป็นพระอาจารย์ที่ปรึกษาภายในพระราชวังขององค์จักรพรรดิ์ไฮชาง
(ค.ศ.888)
และตำราของอาจารย์หยางนี้เองที่เป็นตำราสำคัญซึ่งผู้ประกอบพิธี ฮวงจุ้ย ไดรับการถ่ายทอดกันต่อ
ๆ มา ตำราเล่มนี้เน้นความสำคัญเรื่องรูปร่างลักษณะของภูเขา
ทิศทางการไหลของสายน้ำ ที่สำคัญก็คือเรื่องของทำเลที่ตั้ง และต้องเข้าใจในอิทธิพลของมังกรสวรรค์ซึ่งชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นองค์เทพเจ้าบนสรวงสวรรค์
ตำรา ฮวงจุ้ย เก่าแก่อันลือชื่อของอาจารย์หยางมีอยู่ทั้งหมดสามเล่มซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการบรรยายถึงแนวปฏิบัติเกี่ยวกับ
ฮวงจุ้ย ในแง่ของการอุปมาอุปมัยไปถึงมังกรหลากสี
ตำราเล่มแรกคือ “ฮั่นหลุงชิง” (Han Lung Ching) ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ “ศิลปะของการปลุกมังกร”
(The Art of Rousing the Dragon) ตำราเล่มที่สองคือ
“ชิงหนางโอชิ” (Ching Nang Ao Chih) ซึ่งบรรยายถึงหลักในการพิจารณาทำเลที่ตั้งอันเป็นถ้ำของมังกร
และตำราเล่มสุดท้ายคือ “อ้ายหลุงชิง” (I Lung Ching)
ตำราเล่มนี้ได้รับการแปลเป็นหนังสือชื่อ “The Canons Approxinmating Dragons” (ข้อบัญญัติลักษณะของมังกร)
ภายในตำราจะบอกถึงหลักการ
และเทคนิคในการค้นหามังกรในบริเวณที่ไม่มีมังกรปรากฏตัวอย่างแจ่มชัด
การดู ฮวงจุ้ย ในสมัยก่อนนั้น การด ูฮวงจุ้ย
จะกระทำกันเฉพาะองค์จักรพรรดิและพวกเจ้านายชั้นสูงในจีนเท่านั้น พระราชวัง สุสาน
และที่ทำการของรัฐมักจะก่อสร้าง
ให้สอดคล้องกับหลักวิธีการของ ฮวงจุ้ย อย่างเคร่งครัด ชนชั้นปกครองในจีนมักจะทุ่มเทความพยายามในการคัดเลือกสถานที่เป็นสุสานฝังศพของบรรพบุรุษ
(มักจุถือกันว่าเป็นที่พำนักของหยิน) พอ ๆ กับการเลือกสถานที่ก่อสร้างบ้านของตน
(มักจะเรียกกันว่าเป็นที่พำนักของหยาง)
เรื่องนี้มีบันทึกทางประวัติศาสตร์เป็นเครื่องพิสูจน์ได้การออกแบบสุสานในสมัยราชวงศ์หมิงที่อยู่รอบนอกเมืองปักกิ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นตัวอย่างที่ดี
เกี่ยวกับการปฏิบัติตาม ฮวงจุ้ย ในสุสาน และแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแรงกล้าของราชสำนักจีนที่มีต่อ
ฮวงจุ้ย ชื่อของภูเขาที่แวดล้อม
สุสานราชวงศ์หมิงก็เป็นคำที่สะท้อนมาจากตำราง ฮวงจุ้ย ดังนั้น ภูเขาทางทิศตะวันออกจึงมีชื่อว่ามังกรเขียว
ส่วนภูเขาทางทิศตะวันตกมีชื่อว่าเสือขาว
- ฮวงจุ้ย ร้านค้า
การกำหนดรูปแบบของร้านค้าและร้านอาหารนั้น สิ่งสำคัญที่สุดทาง ฮวงจุ้ย ที่ดีก็คือ
การดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้สำเร็จ และเสียงระรัวอย่างมีความสุขของเครื่องคิดเงิน
อันแสดงให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจที่เป็นไปด้วยดี ร้านค้าที่จะดึงลูกค้าเข้าร้านได้ดีเช่นนี้
สิ่งสำคัญประการแรกก็คือ จะต้องมีการออกแบบภายในให้มีลักษณะเชิญชวน
ให้เข้าร้านการจัดเรียงสินค้าภายในจะต้องกำหนดให้ตัวพนักงานขายที่เป็นคนต้อนรับลูกค้าหันหน้าเข้าหาประตู
สินค้าจะต้องจัดเรียงในลักษณะเชื้อเชิญ
ให้ลูกค้ามองเห็นได้ถนัดตาภายในร้านควรติดไฟให้สว่างไสวเพื่อดึงดูดให้พลังชี่ไหลเวียนเข้าร้านได้ดี
การติดกระจกมาก ๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะเป็นสัญลักษณ์
ที่แสดงถึงสินค้าและการอำนวยความสะดวกที่ “เพิ่มมากาขึ้นเป็นสองเท่า” อันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์
ความโอ่โถง และความรุ่งเรืองในปัจจุบันนี้ เจ้าของร้านค้าย่อย
หลายคนพบว่า การตั้งตู้ปลา หรือน้ำพุเล็ก ๆ เอาไว้ ก็จะช่วยให้การค้าขายดีขึ้นเจ้าของร้าน
โดยเฉพาะร้านที่มีอ่างปลาคาร์พราคาแพงหรือ “ปลาสวยงาม” อื่น ๆ
มักจะดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น ทั้งนี้เพราะเหตุผลสองประการ ประการแรกคือ ความเป็นมงคลทาง
ฮวงจุ้ย เพราะมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง ประการที่สองคือ เป็นการแสดงถึง
“ความสด” ของร้านขายอาหารทะเลร้านอาหารจีนสมัยใหม่จะไม่ใช้สีแดงและสีทองช่วยในการตกแต่งอีกต่อไปแล้วและอีกหลายร้านก็ไม่ใช้รูปมังกรเกี่ยวกระหวัดเช่น
ที่เคยเห็นตามร้านอาหารจีนแบบเก่า แต่ร้านอาหารเหล่านี้จะเปลี่ยนมาใช้สีทาภายในสีอ่อน
ๆ ร้านรูปสี่เหลี่ยม โต๊ะทานอาหารทรงกลม และจัดเรียงโต๊ะไม่ให้แน่นเกินไป
เพื่อให้พลังชี่ไหลเวียนภายในร้านได้สะดวกเครื่องคิดเงินเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญที่สุดในร้านหรือร้านอาหารก็คือ
เครื่องคิดเงินนั่นเอง การจัดวางตำแหน่งเครื่องคิดเงิน
สามารถบันดาลให้เกิดโชคลาภอย่างมหันต์ หรือทำให้เกิดความหายนะได้ ดังนั้น การจัดวางเครื่องคิดเงินจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังมากที่สุดทั้งนี้เพราะ
เครื่องคิดเงิน เป็นอาณาบริเวณที่ “เงินทอง” หลั่งไหลเข้ามายังเจ้าของกิจการ ยิ่งตั้งอยู่ในที่เป็นมงคลมากเท่าใด
ก็จะยิ่งทำให้ “เงินทอง” หลั่งไหลเข้ามามากขึ้นเท่านั้น
- ประการแรก พนักงานแคชเชียร์จะต้องนั่งในตำแหน่งที่มองเห็นบริเวณประตูทางเข้าได้ถนัดตา
และคงไม่ต้องย้ำอีกกว่า แคชเชียร์จะต้องไม่หันหลังเข้าประตู
เครื่องคิดเงินจะต้อง ไม่ หันตรงเข้าหาประตูหน้า แต่ควรจะหันทำมุมกับประตูหน้า
- ประการที่สอง แคชเชียร์และเครื่องคิดเงินจะต้อง ไม่ อยู่ใต้คานที่ยื่นออกมา เพราะจะทำให้เกิดปัยหาและอาการปวดศีรษะ
- ประการที่สาม จะต้อง ไม่ มีมุมหรือขอบแหลมใด ๆ พุ่งเข้าหาเครื่องคิดเงินเป็นอันขาด
เพราะจะทำให้เกิดโชคร้ายและความไม่มั่นคงผลดีจากเครื่องคิดเลข
ที่บังเกิดขึ้นกับการดำเนินธุรกิจนั้น สามารถจะเพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยวิธีการหลายวิธีด้วยกัน
และนักธุรกิจทั้งหลายมักจะนำมาใช้ได้เสมอ ๆ
โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำในตำราโวงจุ้ยที่ดูเหมือนว่าจะก่อให้เกิดผลดีอย่างยอดเยี่ยมมาแล้วในหลาย
ๆ กรณีประการแรก การติดกระจกต้านข้างหรือด้านหลัง
เครื่องคิดเลขจะทำให้เกิดมงคลอย่างมาก เพราะกระจกนี้จะช่วยสะท้อนภาพการดำเนินธุรกิจ
และเป็นสัญลักษณ์ถึงเงินรายได้ประจำวันเพิ่มเข้ามามากขึ้นเป็นสองเท่าด้วย
ประการที่สอง แขวนกระดิ่งลมเอาไว้เหนือเครื่องคิดเลขเพื่อกระตุ้นพลังชี่ให้แรงขึ้น
อันจะทำให้การค้าขายได้รับผลดีมากขึ้นไปด้วย และถ้ากระดิ่งลมทำมาจากหลอดไม้กลวง
ก็จะยิ่งดีมากขึ้น เนื่องจากทำให้เกิดพลังชี่อันเป็นมงคลขึ้นอย่างมากมายและแข็งแรงประการที่สาม
ให้วางแจกันแก้วเจียระไนซึ่งพันด้วยริบบิ้นสีแดงเอาไว้ข้าง ๆ เครื่องคิดเงิน
ก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความราบรื่นในการประกอบธุรกิจการค้า เอื้ออำนวยความปรารถนาดีในอันที่จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจ
และกลับมาใช้บริการอีกในครั้งต่อ ๆ ไป
- ประการที่สี่ ผู้เชี่ยวชาญ ฮวงจุ้ย บางคนจะสนับสนุนในแขวนขลุ่ยไม้ไผ่ที่พันด้วยริบบิ้นแดง
เอาไว้เหนือเครื่องคิดเงิน เพราะเหมือนกับเป็นการนำทางให้พลังชี่ไหลเวียนขึ้นข้างบน
อันหมายถึงมีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนเพิ่มมากขึ้น แต่ตัวขลุ่ยจะต้องไม่หันขึ้นขึ้นด้านบน
เพราะจะทำให้พลังชี่ไหลเวียนลงด้านล่าง และจะทำให้การค้าขายตกต่ำลงด้วย
การตกแต่งภายในบริษัท
ในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฮ่องกงนั้น มีความเชื่อว่า ฮวงจุ้ย ที่ดีเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งในการแข่งขันกันทางด้านการประกอบธุรกิจ
และที่มองเห็นได้ชัดเจนก็คือ
การตกแต่งภายในสำนักงาน การจัดตกแต่งภายในมักจะต้องอาศัยคำปรึกษาจากนัก ฮวงจุ้ย
เกี่ยวกับหลักพื้นฐานที่จำเป็นในการออกแบบ เท่าที่ข้าพเจ้าทราบก็คือ
บริษัทหรือธนาคารต่างประเทศหรือที่เป็นนานาชาติเช่น รอธชายด์ ซิตี้แบ้งค์ เชสหรือแม้กระทั่งวอลสตรีทเจอร์นัล
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตอ้งปรึกษากับนัก ฮวงจุ้ย ทุกครั้ง
ที่มีการเปลี่ยนแปลงโต๊ะทำงานอขงพนักงาน เพราะนั่นเหมายถึงการออกแบบสำนักงานใหม่นั่นเอง
รูปแบบการจัดสำนักงาน
การจัด ฮวงจุ้ย ภายในสำนักงานจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่การำหนดแปลนของสำนักงาน โดยเฉพาะเรื่องตกแหน่งและการหันทิศทางห้องทำงานของนักธุรกิจหรือหัวหน้าใหญ่
ซึ่งอาจจะเป็นประธานบริษัทผู้อำนวยการจัดการ ผู้บริหารระดับสูง หรือตำแหน่งใหญ่อื่น
ๆ ทั่วไป ถ้าหากคนคนนั้นมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคนสำคัญแล้ว ฮวงจุ้ย
ห้องทำงานของเขาจะมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการประกอบธุรกิจหรือการดำเนนงานของบริษัทผู้เป็นหัวหน้าจะต้องนั่งทำงานในตำแหน่งที่เป็นมงคลมากที่สุดและเป็นตำแหน่ง
ที่เหมาะในการสั่งงานมากที่สุดด้วย เพราะอำนาจและการบริหารเป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจ
ซึ่งในตำรา ฮวงจุ้ย กำหนดให้ตั้งอยู่ในมุมที่ห่างจากทางเข้าสำนักงานมากที่สุด
เพราะการจัดห้องทำงานของหัวหน้าให้อยู่ในมุมที่ตรงข้ามเป็นแนวเฉียงจากทางเข้า (ดูภาพประกอบ)
จะทำให้หัวหน้าสามารถควบคุมงานได้สูงสุด มีสมาธิมากที่สุด
และมีโชคดีมากที่สุดด้วย การบริหารงานของหัวหน้าคนนี้จะไม่เกิดปัญหา มีการตัดสินใจที่ดี
และเป็นลางดีสำหรับโชคชะตาของบริษัทด้วยนอกจากนี้แล้ว “มุมตรงข้าม”
ยังเป็นบริเวณที่มีสมรรถภาพในการเจริญเติบโตสูงด้วย และยังเป็นบริเวณที่พลังชี่มีความสมดุลดีมาก
ถ้าบริเวณดังกล่าวภายในสำนักงานไม่ใช่ห้องทำงานของหัวหน้า
คนที่ได้ทำงานในที่นั้นจะได้รับโชคดีนั้นจะเกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรื่องของบริษัทหรือไม่ก็ตามการกำหนดมุมภายในสำนักงานไม่ควรสร้างความยุ่งยากด้วย
นั่นคือโต๊ะเลขานุการและโต๊ะพนักงานบริษัทที่อยู่ด้านนอก ไม่ควรจะตั้งในแนวที่จะมาสกัดกั้นการไหลเวียนของพลังชี่
พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ควรมีโต๊ะของพนักงานคนใด
ตั้งขวางทางเดินที่จะนำไปยังประตูห้องทำงานของหัวหน้า
นั่งทำงานหันหน้าเข้าหาประตูเสมอ
ข้าพเจ้าเคยรู้จักสตรีนักธุรกิจเก่งกาจคนหนึ่งที่ต้องเผชิญปัญหาภายในบริษัทของเธอไม่มีวันสิ้นสุด
ฮวงจุ้ย ภายในสำนักงานของเธอ “ผิดลักษณะ” อยู่หลายแห่ง
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเธอนั่งหันหลังให้ประตูห้องทำงาน เมื่อสองปีที่ผ่านมา เธอต้องประสบกับปัญหาเรื่องทุจริตของพนักงานที่มักจะทำกันลับหลัง
มีการขโมยความคิด
แย่งลูกค้า และเมื่อไม่นานมานี้เองที่ถึงกับขโมยเงินของเธอด้วย เรื่องทั้งหลายแหล่นี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นลับหลังทั้งสิ้น
อันส่อให้เห็นว่าลักษณะการนั่งหันหลังเข้าหาประตูนั้น
จะการเปิดโอกาสให้เกิดเรื่องฉ้อโกงและทุจริตได้ ดังนั้น ห้องทำงานส่วนตัวของผู้จัดการ
จะต้องวางโต๊ะให้อยู่ในมุมตรงข้างที่เฉียงกับประตู เพื่อให้สามารถควบคุม
สถานการณ์ตรงทางเข้าได้ ไม่ควรวางโต๊ะให้ชิดผนัง เพื่อให้พลังชี่ไหลเวียนไปรอบ
ๆ ในขณะที่นั่งทำงาน ควรระวังอย่าให้มีหน้าต่างกระจกอยู่ด้านหลังโต๊ะด้วย
เพราะการนั่งทำงานในที่เช่นนี้จะหมายถึงการขาดสิ่งเกื้อหนุน ขาดการป้องกันด้านหลัง
อันเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ “ลอบกัด” คุณได้
ห้องทำงานของผู้จัดการที่ประกอบไปด้วยทิวทัศน์ก็จัดเป็นที่ที่ดีมาก ๆ แต่อย่างไรก็ตาม
พึงระวังว่า ภาพทิวทัศน์บางแห่งอาจจะเป็นแหล่งความชั่วร้ายได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น
จึงควรตรวจสอบอย่างพิถีพิถันเกี่ยวกับภาพทิวทัศน์ของตึก อาคาร และภูมิประเทศที่มองเห็นได้จากภายในสำนักงาน
ทิวทัศน์ที่นำแสงแดดจัดยามบ่ายเข้ามา
ก็นับว่าเป็น ฮวงจุ้ย ที่ไม่ดีอีกเช่นกันถ้ามีมุมแหลมยื่นเข้ามาที่สำนักงาน ก็ควรปิดม่านกั้นภาพเหล่านั้นเสีย
รวมทั้งกั้นแสงแดดอันแรงกล้าด้วย การแขวนลูกแก้วเจียระไน
หลายเหลี่ยม ที่หาซื้อได้ตามร้านเครื่องไฟฟ้าทั่วไป จะช่วยแก้ไขเรื่องแสงแดดจัดได้ดี
เพราะลูกแก้วจะเปลี่ยนแสงแดดให้กลายเป็นแสงสีรุ้งอันสร้างพลังชี่อันอีงามให้เกิดขึ้น
ภายในสำนักงานจะเป็นการดีสำหรับสำนักงาน ถ้าภาพภายนอกเป็นภูเขาที่อยู่ไกลประกอบกับภูมิประเทศที่สวยงาม
และถ้ามีทิวทัศน์ของน้ำประกอบกับพืชพันธุ์เขียวชอุ่มอยู่ด้านนอก
ก็ควรจะใช้กระจกสะท้อนภาพอันเป็นมงคลเหล่านี้เข้ามาไว้ในสำนักงานด้วยเพื่อทำให้ฮวงจุ้ยในสำนักงานยอดเยี่ยมขึ้นการจัดสำนักงานที่ดีควรจะยึดตามกฎเกณฑ์
ฮวงจุ้ย
นั่นคือโต๊ะทำงานไม่ควรให้พนักงานหันหลังเข้าหาประตูทางเข้า ถ้าเป็นไปได้แล้วละก็
ทุกคนควรจะมองเห็นภาพตรงประตูทางเข้าได้ดี ถึงแม้ว่าภายในสำนักงานจะมีประตู
หนีไฟก็ตาม แต่ทุกคนก็ไม่ควรจะหันหลังให้ประตูทางเข้าอยู่ดี เพราะจะทำให้เกิดความไม่ลงรอย
ไม่ซื่อสัตย์ และทำให้เกิดอารมณ์เสียขึ้นภายในสำนักงาน อันจะนำไปสู่การลอบกัด และการทะเลาวิวาทกันอย่างรุนแรง
อีกทั้งโต๊ะทำงานก็ไม่ควรจะตั้งอยู่ใกล้ประตูมากจนเกินไปนัก เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการขาดงาน
และไม่ตั้งใจทำงานด้วย
ส่วนการจัดโต๊ะทำงานแบบในห้องเรียนโดยกำหนดให้หัวหน้าหันหน้าเข้าหาพนักงานก็ไม่ดีเช่นกัน
เพราะจะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง ที่ใดก็ตามที่ทำมีปัญหา
ความไม่กลมกลืนเกิดขึ้น ตำราฮวงจุ้ยแนะว่าให้จัดดอกไม้ ต้นไม้ แก้วเจียระไน (อาจเป็นแจกันหรือที่ทับกระดาษ
ฯลฯ) วางเอาไว้ในตำแหน่งนั้น ๆ เพราะจะช่วย “ลดความรุนแรง”
ของบรรยากาศที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของหยินได้ การจัดโต๊ะทำงานซึ่งเป็นที่นิยมกันมากก็คือ
การจัดโต๊ะพนักงานตามการจัดเรียงแบบปากัว โดยเฉพาะที่จัดกันในสำนักงานเล็ก ๆ
นั่นก็คือโต๊ะทำงานจะตั้งอยู่ในแนวเฉียงคล้าย ๆ กับแต่ละด้านของปากัวการจัดเรียงเช่นนี้จะทำให้เกิดความปรองดองกันขึ้นในหมู่พวกพนักงานด้วยกัน
และนำพาความโชคดี
มาให้บริษัทและธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่ด้วยถ้าโต๊ะทำงานตั้งอยู่ในแนวจู่โจมของระเบียงทางเดินเส้นตรง
(ดังแสดงในภาพ) หรืออยู่ในแนวของความชั่วร้ายอื่น ๆ จำพวกมุมยื่น
เสาเหลี่ยมหรือหันเข้าประตูห้องน้ำ ก็ควรใช้ต้นไม้ในการกำจัดพลังชี่อันชั่วร้ายออกไปทางแก้อื่น
ๆ ที่มีประสิทธิภาพดีก็คือ การใช้แก้วเจียระไนกระดิ่งลม กระถางดอกไม้และ
ตู้ปลาที่มีปลาทองว่ายวน สำนักงานที่มีสิ่งของตามฮวงจุ้ยที่งดงามเช่นนี้ มักจะก่อให้เกิดบรรยากาศในการทำงานที่เป็นสุข
อันจะชักพาและกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของ
พลังชี่แห่งความดีงามและความแข็งแรงเข้ามาด้วย
อาคารพาณิชย์
ฮวงจุ้ย ที่ดีสำหรับอาคารพาณิชย์จะมีแนวปฏิบัติที่คล้ายคลึงกับการจัด
ฮวงจุ้ย ของบ้าน อพาร์ตเมนต์ และเรือนแถว ที่ได้กล่าวมาแล้วในบทต้น ๆ การกำหนดศูนย์การค้าก
็จำเป็นต้องหา “มังกรเขียว” และ “เสือขาว” เช่นกัน จากนั้นจึงกำหนดบริเวณที่จะมีพลังชี่เกิดขึ้นมากที่สุด
หลักสำคัญก็คือ ที่ดินทางซ้ายของตัวอาคารจะถูกกำหนดเป็นมังกร ซึ่งจะต้องมีระดับสูงกว่าที่ดินทางขวาที่กำหนดเป็นเสือขาวเล็กน้อย
ผู้เชี่ยวชาญ ฮวงจุ้ย บางคนจะให้
รายละเอียดที่มากขึ้นว่า สัญลักษณ์ของมังกรและเสือนั้นหมายถึงความสูงและสีสันของตัวอาคารทางซ้ายและทางขวาของที่ดินที่กำลังประเมิน
ถ้าเป็นที่ดินสำหรับสร้างศูนย์การค้า ให้มองรอบ ๆ ไปยังอาคารใกล้เคียง แล้วกำหนดอาคารที่เด่นที่สุดในบริเวณนั้น
เพื่อดูว่าอาคารเหล่านั้นมีความกลมกลืนกับธรรมชาติ
หรือไม่ มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในอาคารเหล่านั้นหรือเปล่า มีภูมิประเทศอันก่อให้เกิดความสมดุลของหยินกับหยางตลอดหรือเพียงครึ่งเดียว
ถนนหนทางและทางเดินเท้าอัน
ประกอบไปด้วยทางเดินข้างถนนและขั้นขอบทางนั้น เชื่อมโยงกันในลักษณะที่กลมกลืนหรือเปล่า
มีต้นไม้และแสงไฟพอเพียงสำหรับสร้าง “พื้นที่แห่งลมหายใจ” ได้หรือเปล่า ?
ถ้าบริเวณและอาคารใกล้เคียงมีความสมดุลกันดี ลำดับต่อไปก็ให้สังเกตดูว่ามีเนินเขาและทางน้ำอยู่ใกล้
ๆ หรือเปล่า ถ้ามีให้ตรวจดูว่าตึกของคุณนั้นหันหน้าไปทางน้ำและหันหลัง
ให้ภูเขาหรือไม่ เพราะลักษณะเช่นนี้จะเป็นการเสริมสมรรถภาพของฮวงจุ้ยให้กับอาคารนั้น
ๆในอีกทางหนึ่ง ตัวตึกไม่ควรจะหันไปภูเขาเพราะจะทำให้โชคดีถูกสกัดกั้น
ในทำนองเดียวกัน ถ้าทางน้ำทางด้านหลัง จะหมายถึงว่าผู้พำนักจะมองเห็นโอกาสแต่ไม่สามารถจะไขว่คว้าโอกาสนั้น
ๆ เอาไว้ได้ทั้งนี้เพราะสายน้ำที่ไหลผ่าน
ด้านข้างหรือด้านหลังของตัวอาคารจะไม่นำพาพลังชี่ที่ช่วยเสริมความสำเร็จมาให้ ดังนั้นลำน้ำจะต้องไหลผ่านประตูหน้าของอาคารทำเลอันเป็นมงคลมากที่สุดก็คือทำเล
ที่มีแม่น้ำไหลวนเวียนอย่างช้า ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์มากในการเพิ่มพลังชี่ของตัวอาคารด้วยการมีภาพทิวทัศน์ของแม่น้ำรวมอยู่กับแปลนของอาคาร
ถ้าตึกของคุณอยู่ใกล้แม่น้ำ
คุณควรปรึกษากับนัก ฮวงจุ้ย ผู้เชี่ยวชาญให้ช่วยคำนวณหาสื่อที่ดีที่สุดในการเก็บรักษาผลดีอันเกิดขึ้นจากน้ำเอาไว้
สร้างความกลมกลืนกับอาคารที่มีอยู่
การจัด ฮวงจุ้ย จะต้องประกอบกับรูปทรงและรูปแบบของสิ่งที่เกิดขึ้นตามสภาพแวดล้อม
อาคารเพียงหลังเดียวนั้นไม่อาจจะประเมินถึงลักษณะที่ดีในตัวของมันเองได้ดังนั้น
การออกแบบอาคารพาณิชย์หรือการกำหนดภายในอาคารว่าที่ใดควรเป็นสำนักงาน ที่ใดควรเป็นร้านค้า
และที่ใดควรเป็นโชว์รูมนั้น จำต้องอาศัยการตรวจสอบดูว่าอาคารที่กำลัง
ประเมินนั้น ๆ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์เพียงใด
ประการแรก ไม่ควรสร้างอาคารพาณิชย์แต่ละชุดให้มีระดับความสูง รูปทรง ขนาด และรูปแบบที่แตกต่างกัน
เพราะทำให้มองเห็นถึงความไม่ต่อเนื่องกัน และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ
จะเกิดความไม่กลมกลืนกันจากมุมที่ยื่นเข้าหากันและกัน อีกทั้งเส้นมุมตึกจะ “กระทบ”
ซึ่งกันและกันด้วย ลักษณะความไม่สมดุลเช่นนี้จัดเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดีซึ่งอาจจะพบเห็นได้ในตัวเมือง
บางแห่ง แต่โชคดีที่ผลร้ายจากภูมิประเทศ่ลักษณะนี้อาจจะถูกลบล้างลงไปได้ด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่อันทำให้ผลร้ายที่เกิดขึ้นจากความไม่สมดุลนั้นกระจายออกไปเมื่อยามที่ใบลไม้
แกว่งไกวตามแรงลม การจัดฮวงจุ้ยเช่นนี้เกิดขึ้นหลายแห่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์
ประการที่สอง ไม่ควรสร้างอาคารให้มีระดับความสูงแตกต่างกันเพราะแสดงถึงความไม่สมดุลกันราวกับว่า
“มีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป” คนช่างสงสัยอาจจะกล่าวว่า
การออกแบบอาคารต่างระดับเช่นนี้เหมือนกับบันไดที่ขึ้นไปสู่ข้างบนซึ่งน่าจะเป็นลางดีสำหรับผู้อยู่อาศัย
แต่ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยกล่าวว่า บันไดไม่ได้มีไว้ขึ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะบันไดใช้เป็นทางลงได้ด้วยเช่นกันประการที่สาม อาคารที่สร้างอยู่ใกล้กัน โดยเฉพาะที่เป็นตึกแถว
ควรจะมีสัดส่วนเดียวกัน นั่นคือมีด้านหน้าร้านเท่ากัน มีชั้นความสูงเท่ากัน และจะต้องมีความยาวเท่ากันด้วย
สัดส่วนที่กลมกลืนกันดีมักจะทำให้เกิด ฮวงจุ้ย ที่ดี และเป็นลางดีสำหรับธุรกิจการค้าในแต่ละร้านด้วย
ดังนั้นถ้าคุณเป็นเจ้าของห้องแถวในอาคารพาณิชย์
คุณจะต้องระวังอย่างยิ่งไม่แบ่งหน้าร้านออกเป็นสองส่วน ราวกับว่าทำการค้าสองประเภท
ถ้าคุณแบ่งหน้าร้านเช่นนี้จะทำให้หน้าร้านของคุณแคบกว่าร้านข้างเคียง ซึ่งทำให้เกิดผลร้าย
กับคุณเอง ในทำนองเดียวกันถ้าหากร้านแถวนั้นใช้ห้องแถวสองห้องทำการค้าเพื่อขยายด้านหน้าให้กว้างขึ้น
การทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลร้ายสำหรับคุณ แต่กลับเกิดผลดีกับร้านนั้นๆ
เนื่องจากร้านของคุณจะแคบกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับร้านใกล้เคียงในการกำหนดตึกแถวเมื่อต้องการจะเช่าตึกเพื่อทำการค้าขายจะต้องตรวจสอบร้านค้าใกล้เคียงด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงดุแต่ว่าร้านค้าของคุณนั้นเข้ากันได้เท่านั้น แต่จะต้องไม่มีปัญหาใด ๆ
เกิดขึ้นจาก ฮวงจุ้ย หรือการค้าขายของร้านค้าใกล้เคียงด้วยประการที่สี่ อาคารพาณิชย์ไม่ควรก่อให้เกิดพลัง
ซาชี่อันร้ายกาจ หรือลูกศรพิษพุ่งตรงไปยังตึกข้างเคียง เพราะจะทำให้ร้านนั้น “ตอบโต้”
กลับมาโดยที่คุณไม่รู้ตัว เนื่องจากการใช้กระจกปากัวซึ่งจะสะท้อนพลังชี่อันชั่วร้ายกลับเข้าหาร้าน
ของคุณเอง มุมแหลมและแนวหลังคาที่ยื่นออกมาก็จะทำให้เกิดการสะท้อนกลับ รวมทั้งกระจกที่สะท้อนแสงไปยังร้านใกล้เคียงด้วย
ถ้ากระจกไม่สะท้อนแสง ก็จะไม่ทำให้เกิดพลังซาชี่และ
ถือว่าใช้ได้ *ไม่ควร…ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะตั้งอาคารสำนักงานภายในอาคารที่มีการเดินทางพุ่งตรงเข้ามา
เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นกับร้านค้าที่อยู่ในศูนย์การค้าด้วยเช่นกัน ทั้งนี้
เพราะพลังชี่อันร้ายกาจที่เกิดขึ้นจากทางแยกเช่นนี้จะรุนแรง กระทบกระเทือน และมักจะมีพิษสงมากมายมหาศาล
อันทำให้เกิดโชคร้าย ลักษณะเช่นนี้ไดแสดงเอาไว้ในภาพ
ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ จะมีอาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารอาหรับมาเลเชี่ยน ในจาลาน ราชจูลัน
ซึ่งมองผิวเผินแล้วเหมือนกับว่าจะหันหน้าไปทางสามแยก แต่ถ้าพิจารณากันอย่างละเอียด
แล้วจะพบว่าไม่ใช่ ที่จริงแล้วตัวอาคารทั้งหมดหันทางไปยังทิศทางที่ไม่ใช่ทางแยกประกอบกับกระจกของตัวอาคารไม่ใช่กระจกสะท้อนแสง
แต่กลับเป็นกระจกที่สะท้อนความงดงาม
ของท้องฟ้าสีน้ำเงิน ดังนั้นจึงเป็นลักษณะของ ฮวงจุ้ย ที่ดีต่อผู้อยู่ภายในอาคาร
(ถ้าหากว่าไม่มีลักษณะอื่น ๆ เกิดความไม่กลมกลืนกันเสียก่อน) จึงดูราวกับว่าพนักงานกำลังทำงานอยู่บนท้องฟ้า
และห้องจำนวนมากดูคล้ายกับขยายใหญ่โตขึ้นด้วยจากคำแนะนำที่กล่าวมาแล้ว คงทำให้เห็นชัดแล้วว่าสิ่งที่ทำให้เกิด
ฮวงจุ้ย ที่ดีก็คือความกลมกลืนนั่นเอง กลมกลืนในรูปทรง รูปแบบ
และขนาด และรวมไปถึงความกลมกลืนของสีสันและวัสดุที่ใช้ด้วยดังนั้น ในการประเมินศูนย์การค้าจะต้องดูความกลมกลืนทั้งหมดของการออกแบบด้วย
อาคารศูนย์การค้าเขต 10
ของกัวลาลัมเปอร์จะมี ฮวงจุ้ย ที่ดี เพราะอาคารทั้งหมดได้รับการออกแบบที่ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายกับบริเวณใกล้เคียง
ตัวอาคารนั้นมีส่วนโค้งอย่างงดงาม ประตูทางเข้าก็มีขนาดใหญ่
กว้างขวาง และแม้กระทั่งทางขับรถเข้ามายังศูนย์การค้าไปจนถึงที่จอดรถก็กว้างขวาง
และเปิดกว้างเพื่อให้พลังชี่อันดีงามไหลเวียนอย่างนุ่มนวลเข้าไปยังอาคาร บริเวณภายในศูนย์การค้า
มีการแบ่งร้านค้าต่าง ๆ ให้มีความกลมกลืนกันตามลักษณะการมองแบบ ฮวงจุ้ย ไม่มีร้านค้าใดที่มองดูคับแคบน่าอึดอัด
พลังชี่ไหลเวียนอย่างนุ่มนวลจากช้นหนึ่งไปยังอีกชั้นหนึ่ง
และบันไดเลื่อนก็ไม่ได้หันหน้าตรงไปยังประตูของศูนย์การค้าด้วย
การกำหนดตัวอาคาร
ข้อแนะนำที่พอสรุปได้เกี่ยวกับการกำหนดตัวอาคาร มีดังต่อไปนี้ ถ้าให้ดีเยี่ยมแล้ว
ที่ดินและอาคารที่อยู่ด้านซ้ายของประตูหน้าควรจะสูงกว่าที่ดินหรืออาคารที่อยู่ด้านขวา
ทางเข้าด้านตัวอาคาไม่ควรหันตรงไปทางสามแยกทางเข้าด้านหน้าตัวอาคารไม่ควรหันหน้าไปทางเนินเขา
พื้นที่สูง หรืออาคารที่ขนาดและความสูงไม่ได้สัดส่วนกัน
ถ้ามีลำน้ำหรือแม่น้ำอยู่ใกล้ ให้หันประตูหน้าไปทางลำน้ำนั้นถ้าจะให้ดี ด้านหลังของอาคารควรจะมีเนินเขาหรืออาคารที่สูงกว่ารองรับไว้
หลีกเลี่ยง อาคารที่หันไปทางสะพานลอยที่ตีโค้งเข้าหา หรือมีลักษณะเหมือนกับจะ
“ตัด” เขามาในตัวอาคารเพื่อให้เจ้าของกิจการประสบกับความสำเร็จและความรุ่งเรืองถ้าเป็นไปได้
หลังจากที่ไดพิจารณาปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวแล้วตัวอาคารควรจะได้รับการำหนดให้สอดคล้องกับดวงชะตาของเจ้าของคนสำคัญ
หรือคนที่มีตำแหน่งสูงสุด โดยการตรวจสอบ
ทิศทางที่ “ดีที่สุด” ของเจ้าของกิจการ แล้วประตูด้านหน้าอาคารควรจะอยู่ในทิศทางนั้นด้วย
รวมทั้งห้องทำงานส่วนตัวในสำนักงานภายในอาคารก็ควรจะหันไปางด้านนั้นเช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยบางคนจะกำหนดทิศทางของตัวอาคารให้สอดคล้องกับปีที่ก่อตั้งบริษัท
ที่เป็นเจ้าของอาคา ส่วนข้องปฏิบัติอื่น ๆ ให้ทำตามคำแนะนำจากฮวงจุ้ยเกี่ยวกับเรื่องทิศทาง
ซึ่งได้กำหนดให้ทิศใต้เป็นทิศที่ดีที่สุด ส่วนทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นทิศที่อัปมงคล
เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดโชคร้าย
โดยทั่วไปแล้วคนจีนเชื่อกันว่าทิศแห่งโชคดีและโชคร้ายนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปปีต่อปี
และคนที่ต้องการจะทราบถึงตำแหน่งทิศทางที่ดี ก็ควรจะดูจาก “ตงชุ” (Tong Shu) ประจำปี
ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับทิศทางที่เป็นมงคล หรือไม่ก็ศึกษาจาก “ตำราอี้จิง” ซึ่งจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับทิศทางเหมาะสม
ลูกศรพิษ
การสร้างอาคารพาณิชย์ก็เหมือนกับการปลูกบ้านหรืออพาร์ตเมนต์ที่จำเป็นต้องตรวจสอบภูมิประเทศโดยรอบเพื่อค้นหาลูกศรพิษเสมอเพราะลูกศรพิษเหล่านี้จะทำให้เกิดพลังซาชี่
ซึ่งนำพาความโชคร้ายมาให้อาจจะทำให้ธุรกิจต้องอับปางลง เกิดปัญหาเรื่องการเงินรั่วไหล
และประสบกับความยุ่งยากทางธุรกิจอีกนานับปการเราจะต้องตรวจอะไรบ้าง ?
อาคารหรือวัตถุใดที่จะมาทำร้ายอาคารของเราแบบนี้ ? สิ่งที่แตกต่างกับฮวงจุ้ยของบ้านคือ
ตัวบ้านจะมีขนาดเล็กกว่าตัวอาคารพาณิชย์ โรงงานหรือตึกใหญ่ วัตถุจำพวกเสาธง
เสาไฟ ต้นไม้ ฯลฯ ซึ่งมักจะทำลายฮวงจุ้ยของบ้านอย่างรุนแรงนั้น จะไม่มีอำนาจร้ายแรงพอกับอาคารใหญ่
เว้นเสียแต่ว่าวัตถุเหล่านี้หันตรงเข้าหาประตูหน้าหรือทางเข้าด้านหน้าของ
อาคารเท่านั้นสิ่งที่จะเข้าทำร้ายตัวอาคารมักจะเป็นรูปแบบและแนวสันของหลังคาที่ลาดชันหรือยื่นออกมา
(ดังในภาพ) โดยเฉพาะพวกหลังคารูปสามเหลี่ยม ยิ่งเส้นเหล่านี้แหลมและ
ใหญ่มากเท่าใด มันก็ยิ่งมีสมรรถภาพในการทำให้เกิดโชคร้ายได้รุนแรงน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้นในทำนองเดียวกัน
มุมตึกจากบริเวณใกล้เคียงก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะมุมที่ “กระทบ”
เข้าที่ด้านหน้าหรือที่ป้ายชื่อบริษัทมีตึกใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองซาอัซ อลาม ซึ่งตั้งอยู่บนถนนไฮเวย์ที่จะไปเมืองกลาง
(Klang)
ตึกหลังนี้มีการจัดวางที่ทำให้ด้านข้างของมันส่งลูกศรพิษอันร้ายกาจข้ามถนนไปกระทบกับด้านบนของโรงงาน
UMW ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเมืองซาอัซ อลาม ในช่วงกลางของ
ทศวรรษที่แปดสิบ ผลกระทบจากลูกศรพิษยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และทำลายโรงงาน UMW
อย่างยับเยินปัจจุบันนี้ ผู้ที่สนใจอาจจะขับรถไปดู “ลูกศรพิษ” ด้วยตนเองก็ได้ เพราะมัน
ยังคมมองเห็นได้จากถนนไฮเวย์ แต่พลังร้ายของมันถูกลบล้างให้หมกสิ้นไปด้วยการปลูกต้นไม้ใบหนาเอาไว้
คอยสกัดกั้นพลังซาชี่ไม่ให้พุ่งเข้ามาหาโรงงาน UMWบางทีอาจจะมีวัตถุอื่น
ซุ่มซ่อนอยู่ใกล้ อันอาจจะทำให้เกิดพลังชี่อันร้ายกาจได้โดยที่เจ้าของบ้านไม่ทันได้เฉลียวใจเลย
อย่างเช่นสิ่งที่ชาวมาเลเซียควรจะต้องระมัดระวังก็คือปืนใหญ่โบราณที่ติดตั้งไว้นอกอาคารเพื่อ
ความสวยงาม ปืนใหญ่เหล่านี้จะนำโชคร้ายสู่เพื่อนบ้านใกล้เคียงเคยมีปืนใหญ่หันเข้าหาอาคารเอตะนะ
ในจาลาน ราชจูลัน ปืนใหญ่ไม่มีผลกระทบต่ออาคารทั้งหลัง แต่คนในอาคารที่อยู่
ในระยะวิถีกระสุน” คือขึ้นไปถึงชั้นห้า ต้องประสบกับโชคร้ายอันเป็นผลจากปืนใหญ่
ถ้าหากว่าไม่มีการป้องกันเอาไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม มีเสียงเล่าลือกันว่าปืนใหญ่กระบอกนี้ถูกนำมาติดตั้ง
เพื่อลบล้างเครื่องหมายกากบาท (X) อันเกิดขึ้นจากบันไดเลื่อนภายในตัวอาคารเอตะนะที่ไปมีผลต่อธุรกิจของอาคารฝั่งตรงข้าง
วัตถุอื่นจำพวกรูปปั้นเหล็กแกะสลัก ก็อาจจะเป็นสัญลักษณ์
ของพลังแห่งความชั่วร้ายได้เช่นกัน ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องระมัดระวังวัตถุเหล่านี้ให้ดี
วัตถุแหลมคมใด ๆ หรือมีลักษณะคล้ายปืน…หรือขอบเหลี่ยมต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ดีทั้งสิ้น
รูปทรงและรูปแบบ
ตามหลักพื้นฐาน ฮวงจุ้ย ที่ดีมักจะเป็นรูปทรงที่ตั้งลักษณะมากกว่ารูปทรงแปลก
ๆ และรูปแบบที่มีสัดส่วนรับกันจะเป็นมงคลมากกว่ารูปแบบที่สัดส่วนแตกต่างกัน ดังนั้นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส
สี่เหลี่ยมผืนผ้า วงกลม และรูปแปดเหลี่ยมของปากัว จึงนับได้ว่าเป็นรูปทรงที่ดีและเป็นที่ยอมรับกัน
ตัวอาคารที่มีรูปทรงเหล่านี้ จะไม่มีปัญหาฮวงจุ้ยเกี่ยวกับเรื่องรูปทรงเลย
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ห้องที่ออกแบบแปลกใหม่จะไม่มี ฮวงจุ้ย ที่ดีเลย
อีกทั้งไม่ได้หมายความว่า รูปทรงอื่น ๆ ทั้งหมดนั้นจะกลายเป็น ฮวงจุ้ย ที่ “ไม่ดี”
ไปด้วย
สิ่งที่พึงมีใน ฮวงจุ้ย เสมอก็คือ ความกลมกลืน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีขนาดที่ได้สมดุลกันอย่างเหมาะสม
หรือเมื่อมีการใช้ประโยชน์จากสีสัน แสงสว่าง อุณหภูมิ ทำให้เส้นหยินนุ่มนวลขึ้น
และทำให้เส้นหยางแข็งแกร่งขึ้น ถ้ามอง “ทั้งหมด” แล้วจะต้องมีความสมดุลกัน อันทำให้มีระยะ
รูปแบบ และสัดส่วนที่ผสมกลมกลืนกันจนกลายเป็น “ภาพรวม” ที่น่าพึงพอใจ
ฉะนั้น กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการทำให้มีสัดส่วนรับกัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่มีประโยชน์ในการพิจารณาถึงความกลมกลืนของตัวอาคารที่มองเห็น
บางทีรูปทรงทางเรขาคณิตที่แตกต่างกันก็อาจจะ
ก่อให้เกิดความสมดุลกันได้ เช่น อาคารรูปทรงกลมที่สร้างได้สัดส่วนถูกต้องจะกลมกลืนกันได้อย่างมีประสิทธิภาพกับอาคารรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสหรือสามเหลี่ยม
ในภาพจะแสดงตัวอย่างความกลมกลืน
ที่เกิดขึ้นจากรูปทรงต่าง ๆ ผสมผสานกันลำดับต่อไป เราลองมาพิจารณาดูสัญลักษณ์บางตัวของภาพรวมทั้งหมดที่พอจะนำมาใช้ได้
สัญลักษณ์ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้อ้างอิงมาจากแนวคิดของ “ชาวจีน”
ในเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่ดีงามหรือสิ่งที่เลวร้าย สิ่งที่เป็นโชคดีหรือสิ่งที่เป็นโชคร้าย
สิ่งที่เป็นมงคลหรือสิ่งที่เป็นอัปมงคล ดังนั้น
ตัวอาคารอันเป็นมงคลตามลักษณะของคนจีนจะคล้ายกับคำว่า “ชิ” (ji) ซึ่งหมายถึงโชค
หรือคำว่า “หวาง” (wang) ซึ่งหมายถึงพระราชา สัญลักษณ์ทั้งสองนี้จัดว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ดี
การเขียนตัวหนังสือแบบจีนได้นำมาแสดงไว้ในภาพเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงในทำนองเดียวกัน
อาคารที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับคำว่า “เซียะ” (xia) ซึ่งหมายถึงตกต่ำ หรือคำว่า
“เซี่ยง” (xiong) ซึ่งหมายถึงโชคร้าย และแน่นอนว่าสัญลักษณ์เช่นนี้แสดงถึงลักษณะที่ไม่ดีคำทั้งสองนี้แสดงอยู่ในภาพแนวคิดในการปฏิบัติยังคงใช้แบบเดิมคือการตกแต่งอาคารที่มีปลายลูกศร
ชี้ขึ้นจะนับว่าดี ถ้าปลายลูกศรชี้ลงจะถือว่าไม่ดี ในขณะเดียวกัน รูปทรงใด ๆ ที่มองว่าไม่สมบูรณ์จะจัดว่าไม่ดีอย่างเช่นรูปครึ่งวงกลม
ความสูงต่างระดับของอาคารที่ดูเหมือนกับบันได
หรืออาคารรูปตัวทีหรือตัวแอล เพราะสิ่งเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป
ยิ่งคนที่จัดเรียงฮวงจุ้ยตามแบบยันต์ปากัว อันประกอบไปด้วยชะตาชีวิตทั้งแปด
(คือความมั่งคั่ง การศึกษาเล่าเรียน ครอบครัว ชีวิตคู่ครอง ที่ปรึกษา ชื่อเสียงเกียรติยศ
บุตร และอาชีพการงาน) มุมที่ขาดหายไปก็จะไปทำลายชะตาชีวิตที่ตกอยู่ตามมุมที่หายไปนั้น
ลองดูภาพตัวอย่างอาคารรูปตัวที ถ้าคุณจัดเรียงรูปอาคารแบบปากัว คุณจะมองเห็นได้ทันที่ว่ามีบางอย่างขาดหายไป
ดังนั้น ชะตาชีวิตของผู้อยู่อาศัยที่สัมพันธ์กับมุมนั้นจะเกิดผลกระทบทันที
มีบางรูปทรงที่ชาวจีน “เกลียดกลัว” กันมาก อย่างเช่น รูปกากบาทและรูปสามเหลี่ยม
ดังนั้น อาคารที่มีรูปทรงอย่างนี้มักจะถูกทำนายว่าจะมีปัญหามาให้คนที่ประกอบธุรกิจนั้น
ๆ
ความสำคัญของการจัดภูมิประเทศ
วิธีการทันสมัยที่เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือ ต้องแน่ใจว่าอาคารในตัวเมืองนั้น
ๆ จะมีสมรรถภาพในการสร้างความสมดุลของหยินกับหยาง อันจะนำให้พลังชี่ไหลเวียนดี
ตามหลักทั่วไป อาคารคอนกรีตจะหมายถึงหยาง ส่วนพืช ดอกไม้ และพุ่มไม้จะหมายถึงหยิน
การปลูกผักก็นับว่าใช้ได้ในการสร้างความสมดุลตามธรรมชาติในตัวเมืองของหยาง
โดยทั่วไปแล้ว ลานกว้างภายในอาคารหรือภายในศูนย์การค้าจะสร้างพลังชี่อันแข็งแรงขึ้นมาอย่างมากมาย
ซึ่งนับว่าเป็นผลดีกับการทำธุรกิจ
มีข้อควรปฏิบัติอยู่เจ็ดประการในอันที่จะสร้างภูมิประเทศของตัวอาคารให้เกิดฮวงจุ้ยที่ดี
นั่นคือ
ลำธารเล็ก ๆ และลำน้ำที่ไหลวนเวียนอย่างช้าง ๆ และลัดเลี้ยวไปตามสุมทุมพุ่มไม้
ลำธารจะนำความร่ำรวยมาสู่ร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียง
น้ำพุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นรูปวงกลม จะสร้างพลังชี่แห่งโชคดีให้เกิดขึ้นมากมาย
และกระตุ้นให้สถานการณ์กลับกลายเป็นดีได้
สระน้ำ เอาไว้เลี้ยงปลาตะเพียนและเต่านำโชค ปลูกดอกบัวบาน เหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงถึงความสำเร็จ
ความเจริญรุ่งเรือง และการดำเนินงานที่ราบรื่นทั้งสิ้น
ก้อนหิน น้อยใหญ่ใช้แทนเนินเขาและภูเขา ที่จะให้ความคุ้มครองปกป้องโชคร้ายทั้งปวง
พืชและดอกไม้ จะหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองและการขยายตัว
ต้นไม้ จะหมายถึงความเข้มแข็งและความมั่นคง
ดอกไม้ จะหมายถึงความสุขและความปรารถนาดี ที่มีต่อผู้อยู่อาศัย
ข้อปฏิบัติทั้งเจ็ดประการนี้จะต้องนำมาใช้รวมกัน และให้มีภาพที่กลมกลืนกันอย่างชำนิชำนาญ
หรือนำมาใช้ผสมผสานกันเพื่อให้มองดุแล้วสบายตา อย่างไรก็ตามยังคงมี “ข้อห้าม”
หรือข้อควรระวังในการนำองค์ประกอบของภูมิประเทศเหล่านี้มารวมกันด้วย
ประการแรกคือ จะต้องให้ความรู้สึกที่เสมอภาคกัน ไม่เพียงแต่เท่าเทียมในแง่รูปทรงเท่านั้น
แต่ยังหมายรวมไปถึงขนาดของสิ่งเหล่านี้ด้วย ดังนั้น การปลูกต้นไม้ใหญ่จนข่มให้สิ่งต่าง
ๆ
ดูเล็กแคระไปหมดจึงไม่ใช้เรื่องดี เพราะจะทำให้เกิดความไม่กลมกลืนตามมา
ประการที่สอง สระน้ำควรจะสร้างให้มีรูปวงกลมและโอบตัวอาคารเอาไว้ นอกจากนี้ สระน้ำนั้นไม่ควรให้มีขนาดที่ใหญ่เกินไปจนเหมือนกับมีอำนาจเหนือภูมิประเทศทั้งหมด
อีกทั้งไม่ควรจะเล็กเกินไปจนดูไร้ประสิทธิภาพด้วย ต้องมั่นใจว่าน้ำในสระจะต้องสะอาดอยู่เสมอ
และถ้ามีปลาอยู่ในสระ จะต้องเลี้ยงปลาให้แข็งแรงและได้รับอาหารอย่างดีด้วย
สระที่มีน้ำดำสกปรกจะทำให้เกิดพลังซาชี่ ซึ่งเป็นลมหายใจพิษขึ้นมา
ประการที่สาม ลำธารควรจะสร้างให้วกเวียน และไม่ควรจะสร้างเป็นเส้นตรง ถ้ามีการสร้างทางเดินหรือบันไดหินอยู่ในทำเลด้วยทั้งสองอย่างนี้จะต้องสร้างให้วกเวียน
ไม่เป็นเส้นตรงด้วยเช่นกันชาวจีนเชื่อว่าจะทำให้เกิดฮวงจุ้ยที่ดีด้วย ถ้ามีการเพิ่มเติมการตกแต่งด้วยสัตว์อันเป็นตัวแทนของความเจริญรุ่งเรือง
ความสำเร็จ ความมั่งคั่งและเงินตรา
ด้วยเหตุนี้เองที่ค้างคาวแดง เต่า นกโฟนิกซ์ และมังกร ซึ่งทำด้วยกระเบื้อหรือไม้
ได้ถูกนำมาประกอบการตกแต่งเพื่อให้นำโชค ส่วนกวาง ม้า สิงโต และม้ายูนิคอร์น ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์นั้น
ใช้แทนสัญลักษณ์ของโชคดี ความมั่นคงแข็งแรง และการอารักขาคุ้มครอง
ความหมายของสีในทาง ฮวงจุ้ย
ธาตุทั้ง 5 และสีตัวแทนแห่งสัญลักษณ์
ธาตุทอง เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ ดังนั้นสีขาวจึงเป็นตัวแทนแห่งสัญลักษณ์
มีอำนาจควบคุมอวัยวะทั้งภายนอกและภายในของร่างกาย ซึ่งได้แก่ ใบหูด้านซ้ายและปอด
ธาตุทองก่อให้เกิดธาตุน้ำ และทำลายล้างธาตุไม้ สีขาวจะส่งเสริมให้เกิดโชคลาภดึงดูดทรัพย์สิน
นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง
ธาตุน้ำ เป็นตัวแทนของความลี้ลับ ซับซ้อน ผสมกลมกลืนเช่นเดียวกับสายน้ำ
ดังนั้น จึงมีสีดำเป็นตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ มีอำนาจควบคุมอวัยวะทั้งภายนอกและภายในร่างกาย
ซึ่งได้แก่ ปาก และไต ธาตุน้ำสนับสนุนส่งเสริมก่อเกิดธาตุไม้ ทำลายธาตุไฟ สีดำที่หม่นหมองจะลดทอนพลังธาตุน้ำ
ทำให้อับเฉาเรื่องบุตร คู่ครอง บริวาร ญาติมิตร
ธาตุไม้ เป็นตัวแทนของการเจริญเติบโตและความเจริญรุ่งเรือง การปรับเปลี่ยน
ดังนั้น จึงมีสีเขียวเป็นตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ มีอำนาจในการควบคุมอวัยวะทั้งภายนอกและ
ภายในร่างกาย ตั้งแต่ใบหูด้านขวา และตับ ธาตุไม้สนับสนุนส่งเสริมก่อให้เกิดธาตุไฟ
และทำลายธาตุดิน สีเขียวของธาตุไม้ส่งเสริมเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพทั้งกายและใจ
ธาตุไฟ เป็นตัวแทนของความสดชื่นกระปรี้กระเปล่า สดใส ดังนั้นจึงมีสีแดงเป็นตัวแทนของสัญลักษณ์
มีอำนาจในการควบคุมอวัยวะภายในและภายนอกร่างกาย ซึ่งได้แก่
หน้าผากและหัวใจ ธาตุไฟสนับสนุนส่งเสริม ก่อเกิดธาตุดิน และทำลายล้างธาตุทอง สีแดงของธาตุไฟจะส่งเสริมโชคลาภ
รักษาระดังความเจริญรุ่งเรืองให้คงที่
ธาตุดิน เป็นตัวแทนของความหนักแน่นมั่นคง ความบริบูรณ์ในเชิงของวัตถุและสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิต
ดังนั้น จึงมีสีเหลืองและสีในโทนที่เกี่ยวเนื่องด้วยสีเหลือง
เป็นตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ มีอำนาจในการควบคุมอวัยวะทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ได้แก่
จมูก ม้าม ธาตุดินส่งเสริมและสนับสนุนธาตุทอง ทำลายธาตุน้ำ สีเหลืองสดใส
จะส่งเสริมความมั่นคงในเรื่องของของหลักฐานบ้านช่อง อำนาจบารมี
ธาตุทั้ง5 ถือเป็นองค์ประกอบของทุกสรรพสิ่ง จะต่างกันตรงที่สิ่งใดมีธาตุใดเด่น
และด้อยเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองธาตุทั้ง5 จึงมีอิทธิพลในเชิงความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ของสิ่ง
ต่างๆที่รวมกลุ่มกันอยู่
สีแดง คือสีแห่งความเป็นมงคลของชาวจีน เป็นสัญลักษณ์แทนธาตุไฟ
ความโดดเด่นของสีแดงคือความสว่างไสวในยามมืดมิด คือความอบอุ่นในยามหนาว เป็นไฟที่ลุกโชน
คือ ความรุ่งเรืองโชตช่วง พลังอำนาจ ความร้อนแรงของไฟสามารถเผาผลาญความชั่วร้ายหรือสิ่งที่ไม่ต้องการให้มอดใหม้ไป
ดังนั้นสีแดงคือตัวแทนในการถ่ายทอด
คุณลักษณะของไฟ เมื่อใดที่ต้องการความเป็นมงคล หรือต้องการเพิ่มพลังอำนาจให้กับตนเองก็มักเลือกสีแดงมาใช้
ในทางจิตวิทยาสี สีแดงมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ กระตุ้นให้เกิดความสดใส
มีพลังทำให้ตื่นตัวอยู่เสมอ หรืออาจจะหมายถึงการเตือนภัย เมื่อเปรียบเทียบใน
ทาง ฮวงจุ้ย ก็จะพบกับความพ้องกันหลายประการ อารมณ์แจ่มใส และจิตใจที่กระตือรือล้นย่อมส่งผลดีต่อการสร้างสรรค์ในการทำงาน
ความเป็นมงคลจึงน่าจะเริ่มจาก
การที่ตนเองเต็มไปด้วยพลังในการทำงานนั่นเอง เมื่อสามารถปฎิบัติหน้าที่การงานได้สำเร็จลุล่วงแล้วความเจริญรุ่งเรืองก็จะตามมา
อีกประการหนึ่งที่น่าสนใจ
ความเชื่อเฉพาะกลุ่มชาวจีนมีความผูกพันกับสีแดงในแง่ดีมาตั้งแต่เริ่มแรก ดังนั้นสีแดงจึงสื่อถึง
ความเป็นมงคล และรุ่งเรือง ฮวงจุ้ย ไม่ได้ให้ความสำคัญ
กับการเตือนภัยเช่นเดียวกับจิตวิทยาสีแต่จะเน้นเรื่องการป้องกันกระแสชี่ร้านที่อาจเข้ามาบั่นทอนทำลายมากกว่าโดยมีความเชื่อว่า
ด้วยพลังอำนาจ
ของสีแดงสามารถป้องกันภัยจากสิ่งชั่วร้ายได้
สีเหลือง เป็นสัญลักษณ์แทนธาตุดิน ซึ่งหมายถึง ความเป็นปึกแผ่นมั่นคง
ทั้งในแง่ของอารมณ์ความรู้สึกและชีวิตความเป็นอยู่ ความเจริญรุ่งเรืองเป็นเครื่องหมายของ
จักรพรรดิ ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งฟ้า เป็นอำนาจที่ควบคุมแผ่นดิน ซึ่งจะสังเกตได้ว่ากษัตริย์จีนจะแต่งองค์ด้วยชุดสีเหลือง
และมีสีทองเป็นส่วนประกอบ
ในทางจิตวิทยา สีบอกถึงความบริบูรณ์ กระปรี้กระเปล่า พลังแห่งความหวัง
ความสดชื่น รื่นเริงบันเทิงใจ และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับความหมายในเชิงของ ฮวงจุ้ย
ก็พอจะทำให้เห็นว่าความสดชื่นรื่นเริง ความหวัง เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา เมื่อประชาชนรักในกษัตริย์ของตนเองจึงต้องการให้สิ่งดีๆ
เกิดขึ้นกับบุคคลที่ตนรักเช่นกัน
ต่างกันตรงที่สีเหลืองในทาง ฮวงจุ้ย เป็นสิ่งที่สูงส่ง ห้ามใช้ในบางกรณี เพราะต้องสงวนให้กษัตริย์เท่านั้น
สีเขียว เป็นสัญลักษณ์แทนธาตุไม้ ซึ่งมีความหมายเกี่ยวะเนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
เจริญงอกงาม นำความรุ่งเรืองสดใสมาสู่กระแสชี่ที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบ
ในทางจิตวิทยา สีเขียวเป็นสีของธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์เมื่อมองดูจะให้ความรู้สึกสดชื่นของธรรมชาติ
ดูเหมือนว่าสีเขียวจะแทนธรรมชาติที่ดีๆโดยรวม
สีเขียวช่วยบำบัดความเคร่งเครียดได้ไม่ว่าจะเป็นการประดับตกแต่งสถานที่ด้วยต้นไม้ก็จะส่งผลไม่ต่างกัน
สีม่วง และสีที่อยู่ในโทนม่วงทั้งหมดนั้นมีความเป็นมงคลใกล้เคียงกับสีแดงอาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่าขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละชุมชน
ซึ่งเชื่อว่าสีม่วงดูทรงพลังและ
หนักแน่นมากกว่าสีแดง ถึงกระนั้นสีม่วงก็ยังไม่สูงส่งเท่ากับสีเหลือง หรือสีทอง
เพราะชนชั้นที่นำเอาสีม่วงไปใช้นั้นเพียงผู้มีอำนาจเท่านั้น จุดประสงค์ที่นำเอาสีม่วงมาใช้
เพื่อเสริมให้เกิดความมั่งคั่งบริบูรณ์ เพิ่มอำนาจวาสนามากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ในทางจิตวิทยา สีม่วงหมายถึงความหดหู่ เศร้าโศก ส่วนสีม่วงที่มีความเข้มลดลงมาบ่งบอกถึงความลึกลับ
อำนาจแห่งเสน่ห์ ซึ่งแตกต่างกับทาง ฮวงจุ้ย ถึงแม้ว่า ฮวงจุ้ย จะ
ยกย่องสีม่วงเป็นสีแห่งมงคล โชคลาภและอำนาจก็ตามแต่ ก็เป็นอำนาจโดยรวม ไม่ใช่อำนาจที่เกิดจากเสน่ห์เหมือนกับจิตวิทยาสี
อาจเป็นไปได้ว่า จิตวิทยาสีเป็นการ
กำหนดและวิเคราะห์โดยชาวตะวันตก ดังนั้นจึงเป็นความเห็นความรู้สึกของชนกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกต่อสีม่วง
แต่กระนั้นก็ตามสิ่งที่ชนทั้งสองซีกโลกรู้สึกได้เหมือนกันก็คือ
พลังอำนาจจากสีม่วง แม้ว่าที่มาของอำนาจจะแตกต่างกันก็ตามที
สีดำ เป็นสัญลักษณ์แทนธาตุน้ำ ทำให้มีคุณสมบัติลึกลับไม่แน่นอนแต่สามารถอยู่หลอมรวมกับทุกสิ่งได้
มีทั้งพลังอำนาจและความอ่อนไหวไปพร้อมๆกัน ให้ทั้ง
คุณประโยชน์มากมาย และยังสามารถนำมาซึ่งภัยพิบัติที่ยากจะประเมินค่าได้ ดังนั้น
สีดำจึงหมายถึง ความคลุมเครือไม่แน่นอนเช่นเดียวกับกระแสน้ำ
หมายถึงความลึกล้ำที่ยากจะหยั่งถึง
ในทางจิตวิทยา สีดำเป็นสีที่เร้นลับ เคร่งขรึม โศกเศร้า ในกรณีของความลึกลับซับซ้อนนั้นไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของผู้คนนัก
และเหตุที่ความลึกของ
สายน้ำเป็นสิ่งที่ลึกล้ำเกินหยั่ง ดังนั้น ฮวงจุ้ย จึงได้นำเอาสีดำมาเป็นสัญลักษณ์แทนธาตุน้ำ
ถึงแม้ว่าสีดำจะให้ความรู้สึกลึกล้ำยากเกินหยั่ง แต่อีกแง่หนึ่งก็ให้ความ
รู้สึกสงบนิ่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติของสายน้ำนั่นเอง
สีเทา สีเทาเป็นส่วนผสมระหว่างสีดำและสีขาว
ซึ่งทำให้มันไม่สามารถหาเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ด้วยเหตุนี้ จึงแทนความหมายความไม่ชัดเจน
และเหตุที่มันมีสีเดียวกับ
เมฆฝน จึงทำให้สีเทามีความหมายไปทางหม่นหมองหดหู่สิ้นหวัง ดังคำกล่าวที่ว่าเมฆฝนเปรียบได้กับช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและปัญหา
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่เมฆฝน
ลอยผ่านพ้นไปจากชีวิต แต่ว่ายังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่าสีเทายังมีแง่ดีอยู่บ้าง
นั่นคือความสงบและความสมดุลย์ ด้วยว่ามันเป็นส่วนผสมของ ขาวและดำที่เท่ากัน
ในทางจิตวิทยา หมายถึงความสงบนิ่งและเดียวดาย จะตรงกันกับ ฮวงจุ้ย
ก็คือความสงบ อาจจะเพราะสีเทามีความเป็นกลาง การเพ่งมองสีอ่อนนานๆทำให้จิตใจสงบ
สีน้ำตาล เป็นสีแทนความอบอุ่นมั่นคงไปด้วยหลักทรัพย์ เป็นสีเดียวกับต้นไม้ขนาดใหญ่
บ่งบอกถึง อดีตอันยาวนานและประสบการณ์ที่ผ่านมา ดังนั้น มันจึงกลายเป็น
สัญลักษณ์ของผู้สูงอายุตามไปด้วย ความสุขุมเยือกเย็นยังเป็นเอกลักษณ์ของสีน้ำตาลด้วยเช่นกัน
ในทางจิตวิทยา สีน้ำตาลทำให้รู้สึกแห้งแล้ง ความเห็นพ้องระหว่าง
ฮวงจุ้ย กับจิตวิทยาคือความอบอุ่น หากนำสีที่เพิ่มความสดใสในสัดส่วนที่เหมาะสมก็จะได้ความ
อบอุ่นมั่นคงสามารถลดความแห้งแล้งได้
สีส้ม สีส้มเป็นสีที่เดียวกับสีน้ำผึ้ง
เพราะได้รวมเอาสีแดงคือความรุ่งโรจน์ พลังอำนาจและความเป็นมงคล และความมั่งคั่งความหวังรุ่งเรืองของสีเหลือง
ในทางจิตวิทยา หมายถึงการฟื้นตัวและพลังชีวิตเพราะว่าสีส้มรวมเอาสีแดงและเหลืองไว้ด้วยกันให้ความรู้สึกในแง่ดี
สีชมพู คือความสดใสบริสุทธิ์ของวัยสาว
ความรักอันบริสุทธ์ ความเบิดบาน ความคิดและจิตวิญญาณที่ปราศจากจริตมายา
ในทางจิตวิทยา สีชมพูบอกถึงความละมุนละไมความอ่อนเยาว์สดใส ซึ่งพิจารณาดูแล้วสอดคล้องกับสิ่งที่
ฮวงจุ้ย ได้บอกไว้เช่นกัน ด้วยคุณลักษณะของสีชมพูคงไม่มีใคร
ปฎิเสธถึงความอ่อนหวานน่ารัก แม่ส่วนมากมักเลือกเสื้อผ้าเครื่องใช้ รวมถึงตกแต่งห้องด้วยสีชมพูเตรียมไว้ให้ลูกสาว
เพราะนอกจากจะเป็นสีแห่งความอ่อนหวานแล้ว
การเลือกสีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิงนั้นเสมือนการอวยพรให้เด็กเป็นคนที่อ่อนหวานงดงาม
น่ารักบริสุทธิ์
สีชมพูโอรส เนื่องจากเป็นสีที่มีส่วนประกอบหลากหลาย ได้แก่ สีชมพู
และสีส้มเล็กน้อย หากเป็นสีชมพูล้วนๆก็หมายถึงความบริสุทธิ์น่ารัก แต่เมื่อสีโอโรสมีสีส้มเจือด้วยจึง
ทำให้ความรักอันบริสุทธิ์เปลี่ยนเป็นรักที่ทรงพลัง อำนาจแห่งความปรารถนา แรงดึงดูดแห่งรัก
อำนาจแห่งเสน่ห์ มันจึงไม่เป็นมงคลนักหากจะนำสีดังกล่าวมา
ตกแต่งห้องนอนของคู่บ่าวสาวเชื่อกันว่าจะส่งผลให้เกิดรักสามเส้า ใครบางคนอาจตกหลุมรักหรือติดบ่วงเสน่ห์ผู้ที่ไม่ใช่คู่ครองของตน
สำหรับวัยหนุ่มสาวที่ยังไม่มีครอบครัว
สีโอโรสหมายถึงความมีเสน่ห์และมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีมิตรสหายมาก สีโอรสในที่นี้หมายถึงสีของดอกท้อนั่นเอง
ในทางจิตวิทยา วิเคราะห์ได้ว่าได้รวมเอาคุณลักษณะทั้ง3 สีด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนหวานของสีชมพู ความสดใส ความปรารถนาของสีเหลือง และความร้อนแรงมีพลัง
ของสีแดง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ ฮวงจุ้ย จะตีความไว้เช่นนั้น
สีฟ้า ชาวจีนมักจะมองสีฟ้าว่าเป็นสีแห่งการเปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตเฉกเช่นเดียวกับสีเขียว
มีไม่น้อยที่คิดว่าสีฟ้าเป็นสีแห่งฤดูใบไม้ผลิ การสวมชุดสีฟ้าในช่วงเวลา
ดังกล่าวจึงเป็นเสมือนการต้อนรับฤดูกาลใหม่ ทว่ายังมีบางกลุ่มที่ไม่นิยมสีฟ้า เนื่องเพราะคิดว่าสีฟ้าเป็นสีแห่งความโศกเศร้า
ในทางจิตวิทยา มองว่าสีฟ้าเป็นสีแห่งความสดชื่น ปลอดโปรงโล่งสบายและสดใส
จึงพ้องกับความคิดที่ว่า สีฟ้าเป็นสีแห่งฤดูใบไม้ผลิ และการที่บางคนมองว่าสีฟ้า
เป็นสีแห่งความโศกเศร้านั้น น่าจะเป็นเพราะเป็นสีอยู่ในโทนอ่อน มีความเข้มของสีน้อย
ขาดความโดดเด่น ไม่มีผลในการกระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้น
เช่นเดียวกับสีเข้มๆ บางสี เช่นสีแดงนั่นเอง
สีเขียวอมฟ้า สีเขียวเป็นสัญลักษณ์แทนธาตุไม้ ดังนั้น มันจึงหมายถึงความเจริญเติบโตหรือการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า
สีแทนความหม่นหมอง แต่เมื่อมันมาอยู่
รวมกันก็จะเกิดความหมายใหม่ที่ดีๆเพราะสีเขียวอมฟ้านั้นไปพ้องกับสีของใบไผ่ เป็นไม้มงคลของชาวจีน
ชาวจีนมีความเชื่อว่าสีเขียวอมฟ้าเป็นสีแห่งความอ่อนเยาว์
ในทางจิตวิทยา ได้รวมเอาคุณลักษณะของหลายสีเข้าด้วยกัน ได้แก่ สีเหลือง สีน้ำเงิน
สีขาว แม้สีฟ้าจะถูกมองว่าหม่นหมอง แต่เมื่อได้ความสดใสจากสีเหลืองเข้ามาช่วยแล้ว
ก็ทำให้สีเขียวอมฟ้าช่วยกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกให้สดชื่นได้
การใช้พันธุ์ไม้และต้นไม้
ต้นไม้พันธุ์ไม้ และพุ่มไม้ เป็นการแก้ไขที่ธรรมดามากที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการต่อสู้กับพลังชี่อันชั่วร้าย
และรวมไปถึงการแก้ไข ฮวงจุ้ย ที่ไม่ดีด้วย ต้นไม้มักถูกนำมาสร้างความสมดุล
ระหว่างหยินกับหยางด้วย เพราะนับได้ว่าต้นไม้คือสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งต้นไม้จะช่วยส่งเสริมฮวงจุ้ย
อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันลูกศรพิษจากถนน ตึก หรือวัตถุ “ชั่วร้าย”
ที่เป็นเส้นตรง
แหลมคมหรือยื่นออกมาได้นอกจากนี้แล้ว ต้นไม้ยังใช้สกัดกั้นวัตถุที่สร้างความระคายเคืองหรือวัตถุไม่พึงประสงค์ได้
อย่างเช่น ก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายสัตว์หรือสิ่งที่เป็นอันตราย ปืนใหญ่
สะพานลอยที่คล้ายคลึงกับเคียวหรือมุมตึกใหญ่ที่ยื่นแหลมคล้ายคุกคาม ฯลฯ เมื่อปลูกต้นไม้ให้แน่นขนัดคล้ายรั้วหรือเส้นกั้นพรมแดนตาม
“ธรรมชาติ”
ต้นไม้จะให้ความคุ้มครองป้องกันด้วยการปัดเป่าพลังซาชี่อันบาดหมางและร้ายกาจ ซึ่งเกิดจากสภาพฮวงจุ้ยที่ไม่ดีทั้งหลายแหล่
ในสมัยก่อนนี้มีชาวบ้านหลายแห่งทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนที่ปลูกละเมาะต้นไผ่เอาไว้ที่หลังบ้าน
เพราะมีความเชื่อว่ากอไผ่จะให้ความอารักขาให้รอดพ้นจากพลังชั่วร้ายใดๆ
ที่อาจจะพุ่งเข้ามาทางหลังบ้านเจ้าของบ้านที่อยู่บนที่ดินราบเรียบเสมอกัน มักจะปลูกพุ่มไม้เอาไว้ในอาณาเขตของบ้าน
เพื่อให้เป็นเครื่องแสดงถึงเนินเขาหรือภูเขาแบบดั้งเดิม
ต้นไม้นับเป็นวิธีการที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการปรับฮวงจุ้ยในสมัยนี้ให้ดีขึ้น
ถึงกระนั้นก็ตาม ต้นไม้ควรได้เจริญเติบโตตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปและเล็มตัดให้มากจนเกินไป
ต้นไม้ควรจะมีดอกผลอุดมสมบูรณ์ และถ้าเขียวชอุ่มอยู่ตลอดก็จะยิ่งดีมากขึ้น เพราะสิ่งนี้เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง
ใบไม้ไหวสีเขียวก็เป็นเครื่องแสดงถึง
ฮวงจุ้ย ที่ดีได้อย่างวิเศษตามกฎเกณฑ์ทั่วไป การปลูกต้นไม่ใกล้บ้านหรือใกล้ตึกนั้น
มักจะถือกันว่าเป็น ฮวงจุ้ย ที่ดีเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อปลูกต้นไม้เอาไว้หลังบ้าน
ถึงกระนั้นก็ไม่ควรปลูกต้นไม้ให้ใกล้ตัวอาคารมากจนเกินไปนักเพราะถ้าต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขากั้นแสงอาทิตย์เอาไว้ไม่ให้ลอดผ่านเข้ามาตามหน้าต่าง
ผู้พำนักอยู่ก็จะต้องลำบากเพราะต้นไม้
จะสกัดกั้นพลังชี่ไม่ให้เข้าบ้าน อีกประการหนึ่งก็คือ ต้นไม้และพืชพันธุ์ต่างๆ
นั้นจัดว่าเป็นหยิน และถ้าหยินไปสกัดแสงแดดของหยางออกไป ก็จะทำให้เกิดความไม่สมดุลกันขึ้นมาทันที
หลักเกณฑ์ที่พึงปฏิบัติก็คือ จงใช้วิจารณญาณของตนเอง เมื่อต้นไม้ดูดีมีท่าทางดีต่อคุณ
ให้ความรู้สึกที่ดี แต่เมื่อไหร่ที่มองดูแล้วเหมือนกับมีทีท่าคุกคามหรือไม่ก็บังแสงอาทิตย์จนหมดสิ้น
คุณก็ควรจะตัดมันออกเสียจะดีกว่า จากนั้นแล้ว จึงค่อยปลูกต้นใหม่ขึ้นมาแทน เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยในประเทศทางแถบร้อน
ซึ่งต้นไม้จะเจริญเติบโตเร็วมาก จนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ลำต้นหนา
และลงเอยด้วยการ “กดดัน” เจ้าของบ้านที่ปลูกมันขึ้นมาเพื่อคุ้มครองนั่นเอง
ประการสุดท้าย เมื่อต้นไม้และพืชมีอาการแห้งเหี่ยว เน่าเปื่อยหรือทำท่าจะตาย
ก็ควรจะสับมันทิ้งเสียแล้วค่อยปลูกเอาใหม่ ต้นไม้ที่เน่าเปื่อยผุพังจะก่อให้เกิดพลังชี่อันร้ายกาจ
ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดลบันดาลให้เกิดอันตรายกับผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงได้
ต้นไม้นั้นอาจใช้สำหรับป้องกันลมแรงได้ เมื่อสร้างบ้านอยู่บนยอดเขา ดังเช่นที่แสดงในภาพ ต้นไม้จะคอยให้ความคุ้มครองคนในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้นไม้ใช้สำหรับป้องกันเสียงที่ดังเกินควรด้วย เมื่อตัวอาคารตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยเส้นทางจราจรและมลพิษ
ก็ควรจะปลูกแถวต้นไม้ไว้เพื่อ “ปิดกั้น” เสียงและมลพิษออกไป
อันจะทำให้เกิดผลดีแก่ผู้อยู่อาศัย
ต้นไม้สามารถนำมาใช้สำหรับป้องกันสิ่งปฏิกูลหรือกลิ่นเน่าเหม็นได้
บ้านที่แสดงในภาพประกอบนี้ ตั้งอยู่ใกล้กับทางระบายน้ำและมีกองขยะอยู่ใกล้กับหลังบ้านด้วย
การปลูกต้นไม้จะช่วยพิทักษ์รักษาคนในบ้านให้รอดพ้นจากพลังชี่อันเลวร้าย ซึ่งเกิดขึ้นจากกลิ่นเน่าเหม็นด้วย
ต้นไม้ใช้สำหรับป้องกันสุสานที่อยู่ใกล้ได้ด้วย บ้านหรือตึกที่ตั้งอยู่ใกล้ป่าช้า อาจจะปลูกต้นไม้เอาไว้ปัดป่าผลแห่งความไม่ดีทั้งปวงที่อาจจะกระจายออกมาจากหลุมฝังศพนั้น
ต้นไม้เป็นเครื่องป้องกันถนนที่ “นำพลังชี่อันมีพิษ” ตรงเข้าบ้าน
จากภาพตัวอย่างจะเห็นว่าประตูใหญ่ของบ้านจะต้องถูกย้ายตำแหน่งใหม่ แต่ต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้เป็นแนวกำบังจะให้การคุ้มครอง
ผู้พำนักได้มากขึ้น
ต้นไม้เป็นเครื่องกำบังกากบาทหรือยอดแหลมของโบสถ์ได้บ้านที่หันหน้าไปทางโบสถ์หรือวัด
อาจจะได้รับโชคร้ายที่มาจากพิธีฝังศพหรือพิธีทำบุญอุทิศให้กับคนตายซึ่งจัดขึ้นภายในวัด
และยังเชื่อกันว่ารูปกากบาทจะก่อให้เกิดพลังชี่อันร้ายกาจขึ้นกับอาคารที่หันหน้าไปทางด้านนั้น
ในกรณีเช่นนี้ ควรปลูกต้นไม้เอาไว้ในบ้านเพื่อช่วยปกปักรักษาคนที่พักอาศัยอยู่
ต้นไม้เป็นเครื่องกำบังถนนหรือสะพานลอยที่มีลักษณะคล้ายมีด
เช่นที่พบเห็นทั่วไปในท้องถนนอันสับสนจอแจทุกวันนี้
ต้นไม้สูงและพุ่มไม้เขียวชอุ่มจะช่วยปัดเป่าอิทธิพลจากพลังชี่อันอัปมงคลซึ่งเกิดขึ้นจากเส้นทางจราจรที่สับสนจอแจนั้นได้
ต้นไม้เป็นเครื่องกำบังมุมและแนวหลังคา ซึ่งพบเห็นกันมากเนื่องจากอาคารใกล้เคียงส่วนมากมักจะมีแนวหลังคาซึ่งมีลักษณะคุกคามโดยไม่ได้เจตนา
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
การปลูกต้นไม้จะเป็นทางแก้ที่ยอดเยี่ยมต้นไม้เป็นเครื่องกำบังเสาโทรเลข หอคอยส่งสัญญาณ
หรือวัตถุอื่นๆ ที่ยื่นตรงเข้าหาประตูทางเข้าใหญ่ จากภาพตัวอย่าง
จะเห็นว่ามีการปลูกต้นไม้เอาไว้คุ้มกับคนในบ้านให้รอดพ้นอันตรายจากเสาธงฝั่งตรงข้าม
ต้นไม้เป็นเครื่องกำบังต้นไม้ใหญ่ที่โถมพลังชี่อันร้ายกาจลงมาที่บ้านอย่างล้นเหลือ
การแก้สถานการณ์เช่นนี้จะต้องปลูกต้นไม้อีกสองต้นเพื่อให้ต้นไม้ทั้งสามมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม
ที่หันปลายพุ่งออกด้านนอก การทำเช่นนี้จะช่วยปัดเป่าพลังชี่อันไม่เป็นมงคลที่เกิดขึ้นจากต้นไม้ลักษณะไม่ดีนั้นออกพ้นจากตัวบ้านไป
ต้นไม้สามารถนำมาใช้สำหรับการสร้างความสมดุลให้กับบ้านหรืออาคารที่มีลักษณะ
“ไม่สมบูรณ์” ซึ่งมีบางมุมขาดหายไป อย่างเช่นบ้านรูปตัวแอล จะถูกทำให้สมบูรณ์ได้ด้วยการ
ปลูกต้นไม้เอาไว้ภายมุมบ้าน
ลำน้ำและสระน้ำ
น้ำทุกรูปแบบมักจะเป็นฮวงจุ้ยที่ดีเสมอ น้ำช่วยให้คนในบ้านเจริญมั่งคั่งมากขึ้น
เพราะน้ำเป็นสัญลักษณ์ของเงินตรา แต่น้ำจะต้องเป็นน้ำใสสะอาด สดชื่น และไหลริน
น้ำที่หยุดนิ่งหรือน้ำที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าจะแย่เสียยิ่งกว่าไม่มีน้ำเสียอีก
ถ้าหากว่าคุณสร้างสระหรือบึงไว้ใกล้บ้าน แต่ยังคงประสบกับความโชคร้ายอยู่เนืองนิตย์
ก็ให้ตรวจดูว่าน้ำในสระหรือบึงนั้น ยังใสสะอาดอยู่หรือเปล่า สระว่ายน้ำในหลายๆ
บ้านสดชื่นไปด้วยผู้คนที่ลงเล่นน้ำในช่วงแรกๆ แต่แล้วก็ไม่ได้รับความสนจอีกในเวบาต่อมาอาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้ใช้งาน
หรือเป็นเพราะลูกๆ ไปเรียนต่อที่อื่นๆ กันหมด ถ้าเป็นเช่นนี้
คุณควรจะปิดสระว่ายน้ำนั้นไปเลย หรือไม่ก็ควรหมั่นดูแลให้สระน้ำนั้นใสสะอาดได้รับการกลั่นกรองน้ำอย่างดีบ่อเลี้ยงปลาและลำธารเล็กๆ
ก็เช่นเดียวกันนี้ ที่สร้างด้วยการกระตือรือร้นในตอนแรก
แต่แล้วกลับปล่อยให้สกปรกเต็มไปด้วยเมือกตมโดยไม่เอาใจใส่ และยิ่งถ้าน้ำเน่าดำก็จะซ้ำร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
เพราะจะทำให้เกิดโชคร้ายอย่างมหันต์ และทำให้เกิดปัญหากับการประกอบธุรกิจ
รวมทั้งกระทบกระเทือนถึงความมั่งคั่งของผู้อยู่อาศัยด้วย
น้ำสามารถนำมาใช้เสมือนกับเป็น “การรักษา” บ้านและตึกที่ประสบความลำบากเพราะมีวัตถุที่เป็นหยางมากเกินไป
ดังนั้นในเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ฉาบไว้ด้วยอิฐปูน
ถ้าหากว่ามีน้ำตกสระน้ำ หรือน้ำพุที่มนุษย์จำลองขึ้นอย่างงดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประกอบไปด้วยต้นไม้อย่างงดงาม
ก็มักจะนำความโชคดีมาให้เสมอเพราะสิ่งเหล่านี้สร้างความกลมกลืนที่ดีอันจะช่วยกระต้นพลังชี่แห่งความโชคดีให้ตื่นตัวขึ้น
แต่ถึงกระนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องแน่ใจว่าลักษณะของ “น้ำ” นั้นไม่ใหญ่โตหรืออยู่ใกล้บ้านมากจนเกินไป
เพราะจะทำให้เกิดความไม่กลมกลืนเนื่องจากมีหยินมากเกินไป
เพราะจะทำให้เกิดความไม่กลมกลืนเนื่องจากมีหยินมากเกินไป อันเป็นการทำลายความมั่งคั่งและโชคดีของผู้ที่อยู่ในบ้าน
ถ้าคุณมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น ก็สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้หลายวิธีด้วยกัน
ถ้าสระน้ำใหญ่เกินไป ให้ปลูกต้นไม้อีกด้านหนึ่งของสระ เพื่อ “ขยายอาณาเขต” ของบ้านถ้าสระน้ำอยู่ใกล้บ้านมากเกินไป
ให้สร้างทางเดินที่วกเวียนจากสระน้ำไปบ้าน เพื่อ “ขยายระยะทาง”
หรือไม่ก็ให้ติดสปอตไลต์สองดวงที่มุมสองมุมด้านหลังบ้านหรืออาคาร ไม่ว่าจะติดสปอตไลต์ตามมุมบ้านเพื่อกรณีใดๆ
ก็ตาม มักจะเป็นฮวงจุ้ยที่ดีเสมอ เพราะเป็นการสร้างสมดุลให้กับตัวอาคาร
น้ำพุเป็นเครื่องแก้ไขที่วิเศษสำหรับบ้านหรือตึกซึ่งอยู่ในเมืองที่มักจะเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นหยางมากจนเกินไป
น้ำพุที่แสดงในภาพประกอบไปด้วยพันธุ์ไม้อันช่วยให้เกิดพลังชี่อันดีงามกระจายไปยังผู้อยู่อาศัย
รูปทรงของสระน้ำที่เหมือนกับจะ “โอบกอด” บ้านเอาไว้จะนำความโชคดีมาให้อย่างน่ามหัศจรรย์
และเป็นเครื่องแก้ไขอย่างยอดเยี่ยมสำหรับบ้านที่ขาดแคลนพลังชีที่ “ให้ลาภ” อย่างไรก็ตาม
อย่าสร้างสระน้ำให้ผิดลักษณะโดยการให้สายน้ำโค้งออกจากตัวบ้านเป็นอันขาด
ประโยชน์ของแสงไฟ
นัก ฮวงจุ้ย แนะว่า เครื่องแก้ไขฮวงจุ้ยที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอีกประการหนึ่งก็คือการใช้ประโยชน์จากแสงไฟโคมไฟหรือสปอตไลต์ที่สร้างสภาพแวดล้อมด้านนอกของ
ฮวงจุ้ย จะช่วย
ทำให้เกิดโชคลาภแก่คนในบ้านได้อย่างน่ามหัศจรรย์การติดไฟฟ้าเอาไว้ตามมุมที่ดินนั้น
จัดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดประการหนึ่งในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับที่ดินหรืออาคารรูปทรงแปลกๆ
ดวงไฟนั้นสามารถนำมาใช้ในการสร้างความสมดุล ของที่ดิน “แยกระดับ” คือมีสองระดับได้ด้วยเช่นกันการใช้ประโยชน์จากแสงนั้น
เป็นการ “จุดประกาย”
ให้พลังชี่บนสรวงสวรรค์รุ่งโรจน์ขึ้นมาดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมโชคลาภให้กับคนในบ้าน
นัก ฮวงจุ้ย มักจะติดไฟสองดวงเอาไว้ที่หน้าบ้าน มุมละดวง และติดอีกหนึ่งดวงเอาไว้ที่กึ่งกลางด้านหลัง
หากมีการคำนวณผิดพลาดในการกำหนดตัวบ้าน การติดดวงไฟเช่นนี้จะช่วยแก้ไขให้โดยอัตโนมัติ
เพราะดวงไฟจะสร้างความสมดุลให้กับที่พักอาศัยการติดตั้งโคมไฟให้ความสมดุลกับที่อยู่อาศัย
ไม่ว่าที่พักนั้นจะอยู่ใกล้หรือไกลจากระตูทางเข้ามากจนเกินไปก็ตาม เรื่องเช่นนี้พบได้ในกรณีที่บ้านพักไม่ได้ตั้งอยู่ตรง
“ศูนย์กลาง” ของแปลงที่ดิน การติดโคมไฟจะช่วยแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้ได้
*แสงไฟใช้สร้าง “ความสมดุล” ให้กับที่ดินที่ “ไม่สมบูรณ์” ได้ด้วย เช่นที่ดินรูปตัวแอล
กรณีเช่นนี้ ให้ติดเสาไฟไว้ตรงมุมที่หันไปทาง “ส่วนที่หายไป” เพื่อเป็นการเสริม
ฮวงจุ้ย
และวิธีการเช่นนี้ก็สามารถนำมาใช้แก้ไขกับบ้านรูปทรงแบบตัวแอลได้ด้วยเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วเราไม่ควรจะสร้างบ้านทรงนี้ไปแล้ว
การติดตั้งเสาไฟตรงมุมที่”หายไป”
นี้จะช่วยแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดีอีกทั้งที่ดินรูปทรงแปลกๆ แบบอื่น ก็สามารถ “แก้ไข”
ให้ถูกต้องได้ด้วยการติดตั้งเสาไฟหรือสปรอตไลต์เอาไว้ที่หลังบ้านได้ด้วยเช่นกันแสงไฟใช้แก้ปัญหาเกี่ยวกับ
ทางเข้าบ้านแคบๆ ได้ด้วย ถ้าทางเข้าบ้านแคบจนเกินไป ให้ติดเสาไฟตามทางเพื่อเสริมความโชคดีให้แก่คนในบ้าน
แต่ถ้าทางเข้าบ้านนั้นแคบเพียงบางส่วน ก็ให้ติดเสาไฟในส่วนที่คับแคบนั้น
นอกจากนี้แล้ว แสงไฟยังใช้สำหรับ “แก้ไข” การตั้งสระน้ำที่ผิดลักษณะด้วย สระน้ำในภาพประกอบนี้มีรูปทรงยาวรีแบบไม่เป็นมงคล
อีกทั้งยังตั้งผิดลักษณะ คือไม่หันเข้าหาตัวบ้านด้วย
อันเป็นลักษณะที่ไม่ได้นำโชคลาภมาสู่คนในบ้าน แต่กลับดึงดูดความร่ำรวยให้หลั่งไหลออกไปจากบ้าน
การแก้ไขสถานการณ์เช่นนี้ ให้ติดสปอตไลต์สองดวงเอาไว้ที่มุมหน้าบ้านทั้งสองมุมละดวง
การเปลี่ยนทิศทางประตู
การแก้ไขอย่างเอาจริงเองจังในเรื่องการติดตั้งประตูหรือทางเข้าด้านหน้าที่ผิดลักษณะก็คือ
การเปลี่ยนที่ตั้งใหม่ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเกิดพลังชั่วร้ายจากลูกศรพิษที่ชี้เข้ามาทางด้านนั้นหรือ
อาจจะเป็นเพราะที่ตั้งของประตูด้านหน้าไม่ถูกโฉลกกับทิศทางของผู้เป็นประมุขในบ้านหลังนั้นเมื่อสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความโชคร้ายอยู่เป็นเนืองนิตย์
วิธีหนึ่งที่ใช้ในการต่อสู้กับมันก็คือ
การสร้างประตูทางเข้าด้านหน้าเสียใหม่เพื่อให้หันหนีจากเส้นทางของลูกศรพิษ บางเรื่องราวของโรงแรมไฮแอทที่ตั้งอยู่บนถนนสก็อตในประเทศสิงคโปร์
คงจะเป็นตัวอย่างเกี่ยวกับการเปลี่ยนทิศทางของประตูอันนำไปสู่โชคลาภได้เป็นอย่างดีเมื่อทางโรงแรมได้จัดการของโรงแรมก็ประสบแต่โชคลาภมาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
การเปลี่ยนแปลงที่ตั้งของประตูนั้นทำได้ไม่ยากนัก (หากรูปแบบของบ้านเป็นใจด้วย)
ดังที่ได้แสดงเอาไว้ในภาพประกอบ เจ้าของบ้านหลังนี้ได้หันประตูหน้าบ้านเอียงไปทางด้านหนึ่ง
เพื่อจะ “หลบหนี” จากพลังชั่วร้ายซึ่งพุ่งมาถนนเส้นตรง มิฉะนั้นแล้วมันจะพุ่งตรงเข้าหาประตูบ้าน
อย่างไรก็ตาม บางครั้งการเปลี่ยนทิศทางของประตูก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เพราะเมื่อหันทิศทางของประตูใหม่แล้วอาจจะกลายเป็นว่าหันไปทางวัตถุไม่พึงปรารถนาอื่นๆ
อีก
หรืออาจจะเป็นเพราะว่ารูปแบบของบ้านนั้นทำไม่ได้ ในกรณีเช่นนี้ คุณจะต้องใช้วิธีป้องกันแบบอื่นๆ
เช่นแขวนกระดิ่งลมหรือติดลูกแก้วเจียระไนอาไว้เหนือบานประตู เครื่องแก้ไขป้องกัน
เหล่านี้จะมีรายละเอียดอยู่ในหัวข้อ “เครื่องป้องกันแปดประการ” ซึ่งจะกล่าวถึงในบทถัดไป
ป้ายชื่อบริษัท ตราสัญลักษณ์ และตัวเลข
ก่อนจะมาดูกันถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการตกแต่งภายในสำนักงานร้านค้า และบริษัท
เราจะต้องนึกถึงลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งของฮวงจุ้ยเพื่อการทำธุรกิจเสียก่อน
นั่นก็คือป้ายชื่อและตราสัญลักษณ์ (โลโก้) อันประกอบไปด้วยการออกแบบ ขนาด และการจัดวางตำแหน่งของป้ายชื่อหรือตราสัญลักษณ์เหล่านั้น
คนจีนจะให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อบริษัท
มาก รวมทั้งมีความเชื่อโชคลางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเพื่อให้ได้ชื่อันเป็นมงคลพอ
ๆ กับการเลือกใช้สัญลักษณ์ประจำบริษัทถึงแม้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการจัด
ฮวงจุ้ย ก็ตาม
แต่ป้ายชื่อและตราสัญลักษณ์ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของฮวงจุ้ยสำหรับธุรกิจทั่วไปดังนั้นการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงมุ่งไปในทางการจัดวางและการออกแบบเท่านั้น
ขนาดของป้ายชื่อควรจะเป็นไปตามหลักทั่วไปของฮวงจุ้ย คือ ต้องกลมกลืนและได้สมดุล
ความชัดเจนของป้ายและตัวอักษร รวมทั้งขนาดของตัวอักษรจะต้องแสดงถึงความสมดุลเสมอ
การเลือกสีสันของป้ายชื่อนั้น นักฮวงจุ้ยแนะว่า ควรจะเลือกให้ถูกโฉลกกับธาตุของเจ้าของกิจการ
นั่นคือให้ยึดเอาตามปีเกิดว่าตกธาตุไม้ ไฟ น้ำ เหล็ก หรือดิน จากนั้นจึงเลือกสีที่ถูกโฉลก
กับธาตุนั้น ๆ (ให้ดูรายละเอียดเรื่องวัฏจักรที่ให้คุณ ในตอนที่ ๑ ประกอบด้วย)ถ้าคุณเกิดในปีที่ตกธาตุไม้
นั่นก็หมายถึงว่าคุณถูกโฉลกกับธาตุไฟ คือสีแดง
ดังนั้นป้ายชื่อบริษัทของคุณก็ควรจะมีสีแดงเป็นหลักหรือถ้าคุณเกิดปีที่ตกธาตุน้ำ
คุณก็จะถูกโฉลกกับธาตุไม้ คือใช้ป้ายชื่อเป็นสีเขียว อันจะมีความหมายว่า ธาตุของคุณจะช่วยเสริมสร้าง
ความสำเร็จให้กับบริษัทของคุณพึงระลึกเอาไว้ว่า ป้ายชื่อก็คือตัวแทนของบริษัท และตัวคุณจะเป็นเพียงผู้ดำเนินการ
นั่นก็หมายถึงว่า คนที่ดำเนินธุรกิจจะต้อง “ให้คุณ” กับตัวบริษัทนั่นเอง
วิธีเลือกสีอีกประการหนึ่งก็คือ การดูจากตำราอี้จิง ซึ่งจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับการเลือกสีสันให้เหมาะกับตัวคุณ
นัก ฮวงจุ้ย บางคนจะนึกถึงที่ “เหมาะสม” กับธุรกิจบางประเภทเช่นสีทอง
หรือสีแดงจะเหมาะกับร้านอาหาร เพราะเราะใช้ไฟในการ “ปรุง” อาหาร ส่วนสีขาวจะเหมาะกับร้านเพชร
เพราะสีขาวหมายถึงเหล็กหรือโลหะ และทองก็คือโลหะชนิดหนึ่งนั่นเอง ฯลฯ
ชาวจีนจะเชื่อกันมากเกี่ยวกับการใช้แสงสว่างแสงไฟหลากสีสันอันสว่างไสว โดยเฉพาะที่ในร้านอาหารจะดึงดุดลูกค้าเข้ามาได้มากถ้านึกถึงแสงไฟอันแพรวพรายของย่านกินซ่าในกรุงโตเกียวแล้ว
คุณคงจะพอเข้าใจถึงความมลังเมลืองของไฟนีออนในเมืองเสี่ยงโชคของสหรัฐอเมริกา คือลาสเวกัส
ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลทราย คนที่ไปที่นั่นมักจะลืมนึกถึงแสงสว่างไปเลย เพราะไฟฟ้าจะเปิด
สว่างไสวตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ลองมาดูที่ใกล้บ้านคุณดูบ้าง คุณจะพบว่าร้านอาหารในกัวลาลัมเปอร์และในเมืองใหญ่ของมาเลเซียที่เปิดไฟในร้านให้สว่างไสวจะดำเนินธุรกิจอย่าง
ราบรื่นต่อไปแล้วคืนเล่าการเลือกแบบตราสัญลักษณ์ของบริษัทจะมีความซับซ้อนมากขึ้นอีกเล็กน้อย
ถึงแม้จะไม่มีกฎเกณฑ์ที่หนักหน่วงนัก
แต่คุณพึงระลึกเอาไว้เสมอว่ารูปทรงที่ต้องตามลักษณะจะมีความเป็นมงคลมากกว่ารูปทรงอื่น
ๆ และควรจะหลีกเลี่ยงสิ่งใดก็ตามที่มีความไม่สมดุล ไม่สมบูรณ์ไม่กลมกลืนกัน
หรือคล้ายคลึงกับสิ่งอันเป็นอัปมงคล ดังนั้นจึงไม่ควรใช้รูปกากบาท สามเหลี่ยม รวมทั้งรูปลูกศรที่ชี้ลง
เพื่อนำมาประกอบในตราสัญลักษณ์ของบริษัท
รูปทรงที่นำมาใช้ในการออกแบบตราสัญลักษณ์ของบริษัทควรจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมหรือวงกลม
จึงจะถือว่าเป็นรูปทรงที่ต้องลักษณ์รวมทั้ง
ใช้ถ้อยคำในภาษาจีนที่มีความหมายไปในทาง “โชคดี” ด้วยนั่นคือถ้อยคำจำพวก “ความสุขสองเท่า”
“ความเจริญเติบโต” หรือ “โชคดี” จึงเป็นถ้อยคำที่ดีที่น่าจะนำมาประกอบการออกแบบด้วย
บริษัทห้างร้านชาวจีนหลายแห่งจะใช้มังกรเป็นเครื่องแสดงตราสัญลักษณ์ของบริษัท เนื่องจากมังกรจัดว่าเป็นสัตว์มงคลที่แสดงถึงความมีอำนาจ
การบริหาร ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
และความกล้าหาญ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้มังกรกลายเป็นสัญลักษณ์ของคนจีนในไชนาทาวน์อย่างแพร่หลายไปทั่วโลก
มังกรจะผงาดศีรษะอย่างผยองในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในป้ายที่ติดอยู่ด้านนอก
รวมทั้งการออกแบบและการตกแต่งภายในบริษัทด้วย ตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับตราสัญลักษณ์รูปมังกรก็คือ
ตรามังกรฮ่องเหลียงที่แสดงเอาไว้ในภาพประกอบข้างบนในภาพประกอบข้างล่างแสดงถึง
สัญลักษณ์มังกรซิด ภายในตราสัญลักษณ์จะมีภาพมังกรสีเงิน และมีคำว่า “มังกรซิด”
(Dragon Seed) เขียนตัวอักษรด้วยสีม่วง ซึ่งเป็นสีที่คนจีนออกเสียงเรียกว่า “เหงียนฉี”
(Ngan Chee)
อันหมายถึง “เงินตรา” นั่นเอง ตัวมังกรนั้นถูกเขียนเป็นรูปมงกุฎ ซึ่งแสดงถึงคุณภาพอันยอดเยี่ยมของสินค้าที่นำไปจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าในเครือของบริษัทรูปนกโฟนิกซ์
เต่า สิงโต ค้างคาว
และกวาง ก็ล้วนแล้วจะจัดกันว่าเป็นสัญลักษณ์นำโชคทั้งสิ้น เพราะใช้แทนความหมายถึงความมั่นคงเป็นเนืองนิตย์
การตัดสินใจที่ดี และความร่ำรวยในทรัพย์สมบัตเมื่อนำรูปเหล่านี้มาออกแบบเป็น
รูปทรงเรขาคณิต เราจะต้องระมัดระวังอย่าให้รูปสัญลักษณ์เหล่านี้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมมากจนเกินไปด้วยบางครั้งอาจมีการพลั้งเผลอใช้ตราสัญลักษณ์ที่เป็นอัปมงคลอย่างร้ายแรงโดยไม่ทันเฉลียวใจเลย
อย่างเช่น ป้ายโลโก้อันก่อนของบริษัทสุพรีม คอร์เปอร์เรชั่น ที่คล้ายกับรูปปากัวหัก
ซึ่งนับว่าเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นอัปมงคลมาก ทั้งนี้เพราะปากัวเป็นเครื่องหมายแสดงถึงเครื่องลางป้องกันภัย
ซึ่งนัก ฮวงจุ้ย นำมาใช้ต่อสู้กับลูกศรพิษและวัตถุอันตรายอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดพลังซาหรือพลังชี่อันร้ายกาจ
เมื่อปากัวหักเสียแล้วก็เหมายถึงว่าปากัวนั้นได้ “สูญเสีย”
พลังอำนาจที่จะไปต่อกรกับพลังชี่อันเลวร้ายได้เสียแล้ว
วิชา ฮวงจุ้ย นั้นถือเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาสตร์จีน ที่มีมากกว่า 3,000 ปี และปัจจุบันก็ยังคงถือเช่นนั้นเพราะแม้แต่วิชาโหงวเฮ้งก็ยังถูกจัดความสำคัญอยู่ในลำดับรองลงมา
กระแสความนิยมของศาสตร์ ฮวงจุ้ย นี้ ทำให้สถาปนิก มัณฑนากร หรือ แม้แต่นักพยากรณ์โหราศาสตร์ด้านอื่นๆ
ก็ยังต้องหันกลับมาศึกษา หรือเรียนรู้วิชาฮวงจุ้ยมากขึ้น สื่อวิทยุ โทรทัศน์ การโฆษณา
โดย เฉพาะในวงการที่เกี่ยวกับบ้าน และที่อยู่อาศัย ก็ล้วนแต่มีศาสตร์ฮวงจุ้ยเข้าไปเกี่ยวข้องทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ก็เพราะอิทธิพลของศาสตร์ ฮวงจุ้ย ที่มีมาแต่โบราณ สามารถเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชคเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นความสำเร็จในเวลาที่คนเราเข้าเคราะห์
ฮวงจุ้ย ก็เป็นศาสตร์เดียวที่สามารถนำมาเสริมดวงคนให้ดีขึ้นได้ถึง 50% ศาสตร์อื่นๆ
ล้วนแต่เป็นศาสตร์พยากรณ์ทั้งสิ้นเดิมวิชา ฮวงจุ้ย มีไว้เพื่อองค์ฮ่องเต้ใช้เท่านั้น
ในการสร้างเมือง พระราชวังที่ประทับห้องบรรทม หรือใช้เพื่อเลือกชัยภูมิสำหรับฝังพระศพ
ทั้งนี้เพื่อนำหลักการของ ฮวงจุ้ย ไปใช้เสริมให้เกิดสุขภาพที่ดี มีบารมีอายุยืนนาน
สำหรับการปกครองประเทศต่อไป วิชา ฮวงจุ้ย จึงถือเป็นความลับสวรรค์ การถ่ายทอดวิชาจะถ่ายทอดปากต่อปาก
เฉพาะลูกหลานในวงศ์ตระกูลเท่านั้น การเรียนรู้ของบุคคลภายนอกจึงถือเป็นเรื่องยาก
แต่เนื่องจากวิชา ฮวงจุ้ย ถือเป็นขุมทรัพย์ที่มีคุณค่ายิ่ง จึงมีการตีความ แปลความหมาย
มีการเสริม ปรุงแต่ง เรื่อยมาแม้กระทั่งมีการใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ตู้ปลา
ลูกคริสตัลบอล น้ำพุ น้ำตก ธนู โมบาย ฯลฯ ซึ่งศาสตร์โบราณไม่มีสิ่งเหล่านี้ กลายเป็นฮวงจุ้ยประยุกต์
แต่ในปัจจุบัน ศาสตร์ ฮวงจุ้ย ดั้งเดิมก็ยังมีอยู่หัวใจของวิชา ฮวงจุ้ย มิได้อยู่ที่การใช้อุปกรณ์ใดๆ
มาเสริม แต่อยู่ที่การหาทิศทางบ้านที่สัมพันธ์กับตำแหน่งของดวงดาวการค้นหาพลังชี่
ความสมดุลของสภาวะหยิน - หยาง และการอาศัยทฤษฎีหลักเบญจธาตุมาใช้ หลักการดังกล่าวล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง
และมีอยู่แล้วในธรรมชาติก่อนมนุษย์จะเกิดเสียอีก
บ้านที่คนมักชอบเลือกกัน ก็คือบ้านหัวมุม ซึ่งบ้านตำแหน่งนี้ก็มักจะขายหมดก่อนเสมอ
เหตุผลส่วนใหญ่ก็มาจากตำแหน่งบ้านหัวมุม เป็นตำแหน่งที่สะดวกในการเข้าออก และที่สำคัญไม่ต้องติดกับบ้านหลังอื่น
ๆ ถ้าเลือกบ้านหลังกลาง จะต้องขนาบข้างกับบ้านหลังอื่น บ้านหัวมุม จะมีด้านที่เปิดถึง
2 ด้านคือ ด้านหน้ากับด้านข้าง ทำให้บ้านได้รับแสง และอากาศได้ดีกว่าบ้านตำแหน่งอื่น
นั่นเป็นเหตุผลทั่ว ๆ ไป ซึ่งถือเป็นข้อดีของบ้านหัวมุม แต่ถ้าถาม ในเชิง ฮวงจุ้ย
แล้ว บ้านหัวมุม ถือเป็นตำแหน่งดาบสองคม คือ มีโอกาสทั้งดีและร้าย พอ ๆกัน และทิศทางตรงตำแหน่งนั้นเป็นทิศอะไรวิธีเลือกบ้านที่อยู่ตรงหัวมุม
ตามหลัก ฮวงจุ้ย จะให้พิจารณาในเรื่องของกระแสเป็นอันดับแรก กระแสที่วิ่งเข้ามาสู่ตัวบ้านเป็นกระแสเชือดเฉือน
หรือกระแสที่โอบอุ้ม ซึ่งการวิเคราะห์ในเรื่องนี้ไม่ยาก พิจารณากระแสที่วิ่งเข้าเป็นหลัก
โดยดูต้นทางของกระแสทางเข้าหมู่บ้านไปสู่ตำแหน่งบ้านที่เราจะเลือกจากรูปตัวอย่างที่ยกมาให้ดู
จะเห็นว่า บ้านหัวมุมในตำแหน่ง A และ B ถือว่าดี เพราะอยู่ในตำแหน่งที่กระแสโอบอุ้ม
ส่วนบ้านในตำแหน่ง
C และ D จะถูกกระแสที่วิ่งปะทะตัวบ้านในลักษณะเชือดเฉือน ถือว่าไม่ดี
นี่เป็นหลักเบื้องต้นในการพิจารณาเลือกบ้านหัวมุม แต่ไม่ใช่ว่าจะพิจารณาแค่นี้ ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ จะต้องพิจารณาทิศทางของบ้านประกอบเข้าไปด้วย ทิศทางอะไรก็ทิศทางลม ทิศทางแดด เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับเมืองไทย อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ เมืองไทยเป็นเมืองร้อน เรื่องของลมแดดจะต้องพิจารณากันให้ดี บ้านที่ดีจะต้องเย้ฯสบาย แดดไม่ร้อนเกินไป อย่าลืมว่า บ้านหัวมุมจะมีด้านที่เปิดถึง 2 ด้าน ไม่เหมือบ้านตำแหน่งอื่น เพราะฉะนั้นทิศจะเป็นตัวบอกว่าด้านที่เปิดทั้ง 2 ด้านนั้นเป็นทิศอะไรถึงจะดี ทิศอะไรถึงจะเสีย
ถ้าดูจากรูปเดิมจะเห็นทิศทางของบ้านทั้ง 4 หลัง หลัง A หน้าบ้านหันทิศใต้ ด้านข้างเป็นทิศตะวันออก หลัง B หันหน้าบ้านทิศใต้เหมือนกัน แต่ด้านข้างหันทิศตะวันตก บ้าน C หน้าบ้านหันทิศเหนือ ด้านข้างเป็นทิศตะวันออก และบ้าน D หันหน้าทิศเหนือ แต่ด้านข้างเป็นทิศตะวันตก
ลองทายดูสิว่า ในจำนวน 4 หลังนี้ บ้านหลังไหนดีที่สุดถ้าใครตอบว่า
เลือกหลัง A ถือว่าเข้าใจหลัก ฮวงจุ้ย ทำไม หลัง A ถึงถือว่าดีที่สุด เหตุผลก็เพราะ
บ้านได้องค์ประกอบของทิศคือ หน้าบ้านได้ลมที่พัดมาจาก
ทิศใต้ เกือบทั้งปี (ประมาณ 9 เดือน) ส่วนด้านข้างเป็นทิศตะวันออก ถือว่าได้ประโยชน์ในเรื่องของแสงแดดที่ไม่ร้อนจนเกินไป
ตอนบ่ายบ้านจะร่ม เพราะบ้านทางทิศตะวันตกจะบังแสงให้
แล้วบ้านหลังไหน ถือว่าแย่ที่สุดล่ะ
คำตอบคือ บ้านหลัง D เพราะบ้านหันทิศเหนือซึ่งไม่มีลมพัดเข้าหน้าบ้าน ทิศเหนือเป็นทิศอับลม
ปีหนึ่งจะมีพัดอยู่ประมาณ 3 เดือน ในฤดูหนาว ซึ่งในทาง ฮวงจุ้ย ถือว่าไม่ดี เป็นลมที่นำโรคภัยมาให้
ส่วนด้านข้างยังเป็นทิศตะวันตก ซึ่งมีผลเสียในเรื่องของแสงแดดที่แผดกล้าในยามบ่าย
บ้านรับแสงอย่างเต็มที่ ไม่มีบ้านอื่นช่วยบังแสงเลย
ส่วนบ้าน B และ C มีข้อดีและข้อเสีย บ้าน B ได้ประโยชน์ในเรื่องของลม
เพราะหน้าบ้านหันทิศใต้ แต่เสียในเรื่องของแสงแดดที่ร้อนในตอนบ่าย ส่วนบ้าน C เสียในเรื่องของลม
เพราะหันหน้าบ้านทางทิศเหนือ แต่ได้ประโยชน์ในเรื่องของแสงแดดมาถึงตอนนี้คงมองออกแล้วว่าบ้านเลือกบ้านที่อยู่หลังมุมยังไง
ลองนำหลัก ฮวงจุ้ย ไปใช้ดู
การจะกำหนดขนาดของบ้านว่า ควรจะสร้างบ้านหลังเล็กหรือหลังใหญ่ แค่ไหนนั้น ความจริงเรื่องนี้จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกันครับ
อย่างแรก ก็คือ จำนวนคนที่จะเข้าไปอยู่ จะต้องเหมาะสมกับขนาดของบ้านเป็นสำคัญเพราะข้อบัญญัติในทาง
ฮวงจุ้ย บอกเอาไว้ชัดเจนว่า "บ้านใหญ่คนน้อย บ้านเล็กคนมาก ล้วนนำปัญหามาสู่บ้านหลังนั้น"
บ้านหลังใหญ่ แต่มีคนอยู่น้อย จะก่อสภาพของหยินที่มากเกินไป พูดง่าย ๆ ก็คือ บ้านนิ่งเกินไป
มีสิ่งเคลื่อนไหวน้อย "ความนิ่ง" (หยิน) ในทาง ฮวงจุ้ย ถือว่า ไม่เจริญมีแต่เสื่อมโทรมลงไปเรื่อย
ๆ เหมือนบ้านร้างที่ปล่อยทิ้ง หรือสิ่งที่นิ่งตาย
นั่นเองส่วนบ้านหลังเล็ก คนอยู่มาก จะก่อสภาพของหยางที่มากเกินไป หยางก็คือ "สิ่งที่เคลื่อนไหว"
เมื่อคนมากพื้นที่น้อย ก็จะก่อสภาพพลุกพล่าน วุ่นวาย ทำให้คนในบ้านหงุดหงิด หรืออารมณ์เสียได้ง่าย
ซึ่งจะนำไปสู่การกระทบกระทั่ง มีปากเสียงกัน จนถึงขั้นทะเลาะวิวาท และแตกแยกกันในที่สุด
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า หลัก ฮวงจุ้ย จะพูดถึงหลักแห่งความสมดุลหยิน - หยาง จะต้องอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะกัน ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป บ้านหลังใหญ่ ก็ควรที่จะมีคนอยู่ที่มากพอกับพื้นที่ ส่วนบ้านหลังเล็ก ก็ไม่ควรมีมากจนเกินไป นี่เป็นปัจจัยในเรื่องของคนกับขนาดบ้าน
เพราะฉะนั้น การจะกำหนดขนาดของบ้านว่าควรจะสร้างใหญ่แค่ไหนนั้น
ควรนำปัจจัยในเรื่องของจำนวนคน ประโยชน์ใช้สอย ขนาดของพื้นที่ดิน และจำนวนข้าวของภายในบ้าน
มาเป็นเงื่อนไขใน
การพิจารณา ก็จะได้ขนาดบ้านตามความเหมาะสม ซึ่งจะก่อสภาพของหยิน - หยาง ที่สมบูรณ์
ทำให้ คนในบ้านอยู่กันอย่างมีความสุข
การใช้ต้นไม้ตกแต่งบ้าน ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะต้องดูว่า ต้นไม้แต่ละชนิดปลูกแล้วบันดาลโชคลาภ หรือส่งเสริมเจ้าของได้อย่างไร แม้ไม่พื้นที่นอกบ้านที่มากพอ จะปลูกในบ้านก็ได้ ต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตและความมีชีวิตชีวา ลองแต่งบ้านด้วยต้นไม้ดูบ้าง แล้วคุณจะพบกับความเปลี่ยนแปลงที่ดีที่เห็นได้ชัด การมีต้นไม้เขียวชอุ่มรอบๆ บ้าน นอกจากจะทำให้ความรู้สึกสดชื่นแล้ว ยังบันดาลให้คนในบ้านมีฐานะร่ำรวยและประสบความสำเร็จในอาชีพการงานด้วย ถ้าบ้านคุณมีพื้นที่มามากนัก ก็อาจจะจัดเป็นสวนเล็กๆ ด้วยการหากระถางต้นไม้ดอกมาจัดวางไว้ให้สวยงาม เพื่อเรียกโชคลาภเข้าสู่บ้าน คุณอาจจะจัดวางกระถางเล็กๆ ตามมุมต่างๆ หรืออาจใช้ไม้ใบกระถางใหญ่ตั้งไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งในห้องรับแขก
หากคุณจะใช้ไม้จริง ก็ควรหมั่นดูแลต้นไม้ให้สดชื่นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้เหี่ยวแห้งเฉาตาย เพราะบ้านที่เหมือนฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูฝนตลอดกาลถือว่าเป็นมงคลมาก จะดลบันดาลให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองอย่างสูง
ถ้าไม่สะดวกในการดูแลไม้จริง ก็ลองหาไม้พลาสติกหรือต้นไม้เทียมมาตกแต่งบ้านดูได้
แต่ก็ควรเลือกแต่งแค่พองาม ไม่รกครึ้มเกินไป
คุณสามารถจัดแต่งต้นไม้ไว้ได้ทุกที่ในอาณาเขตบ้าน เช่น ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องนอน
ห้องทำงาน ระเบียงบ้าน ขอบหน้าต่าง หรือที่อื่นๆ จะจัดวางกับพื้นหรือบนชั้นโชว์
หรือแขวนไว้ก็ได้ แต่ควรศึกษาสักนิดว่า ไม้ชนิดใดสามารถปลูกเลี้ยงภายในตัวบ้านได้อย่างเหมาะสม
การเลือกพรรณไม้ หรือพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดมาปลูกในบริเวณบ้าน ไม่ใช่เพียงแค่ความชอบของคุณเท่านั้น
แต่ต้องหมายถึงการเสริมดวงชะตาของคุณและผู้อยู่อาศัยด้วย การเลือกปลูกต้นไม้ต้องสัมพันธ์กับทิศ
เพื่อช่วยส่งเสริมดวงชะตาของคุณ ทิศเหนือต้นไม้ที่ปลูกควรจะเป็นต้นพุทรา ต้นว่านต่างๆ
ต้นมะตูม ต้นทุเรียน ต้นหว้า ปลูกแล้วจะเสริมดวงชะตาให้เจริญก้าวหน้า มีวาสนามีบารมี
ปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัยไม่มีผู้ใดมาคิดร้ายรังแกได้ สำหรับต้นมะพลับ ต้นมะม่วง
ต้นมะปราง ต้นโตนด และต้นหว้า ควรจะปลูกในทิศใต้ จะเสริมดวงให้รุ่งเรือง มีความมั่งคั่งร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี
ส่วนทิศตะวันออก ให้ปลูกต้นไผ่ ต้นมะพร้าว ต้นกุ่ม หรือต้นสารภี จะช่วยเสริมดวงชะตาให้แข็งแรงไม่มีเรื่องทุกข์ใจ
ไม่เจ็บป่วย ทุกข์ร้อน จะมีแต่ความรุ่งเรืองอยู่ดีมีสุข ด้านทิศตะวันตก ให้ปลูกต้นมะขาม
ต้นมะยม หรือต้นพุทรา จะเสริมดวงให้คุณ ๆ แคล้วคลาดจากเภทภัยคดีความและเรื่องอื้อฉาวทั้งปวง
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือให้ปลูกต้นทุเรียน ต้นสวาด ไม้ดอกนานาชนิดที่บูชาพระ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีแต่ความสุขสบายร่มเย็นตลอดไป
ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนวุ่นวายในบ้าน
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ให้ปลูกต้นยอ ต้นสารภี หรือต้นไผ่ จะส่งผลให้ผู้อาศัยให้เจริญก้าวหน้ามีลาภยศสูง
ได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง ประสบความสำเร็จในอาชีพ มีเกียรติ และป้องกันสิ่งชั่วช้า
ถ้าปลูกต้นมะนาว ต้นมะกรูด ต้นส้มป่อย หรือต้นมะงั่ว ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะเสริมดวงให้ผู้คนมาชื่นชมรักใคร่
ใคร ๆ ก็เกรงใจและมีแต่ความสุข และราบรื่นในชีวิตส่วนทิศตะวันตกเฉียงใต้ให้ปลูกต้นราชพฤกษ์หรือต้นคูน
ต้นขนุน ต้นสะเดา หรือต้นพิกุลถ้าคุณเลือกปลูกต้นไม้ที่สอดคล้องกับทิศแต่ละมุมแล้ว
แต่บางพันธุ์ไม้ที่คุณหาไม่ได้ หรือเป็นไม้ยืนต้น ต้องใช้พื้นที่เยอะ ก็ลองเลือกต้นขนาดย่อมและเหมาะสมกับสภาพบริเวณบ้านของคุณด้วย
ปัญหาที่หลายๆ คนมักจะประสบกันอยู่เสมอ เวลามีคนมาทักว่า บ้านของตัวเองผิด ฮวงจุ้ย
ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะแก้ไขฮวงจุ้ยที่ผิดก็ไม่รู้วิธี แถมคนที่ทักว่าไม่ดีผิดฮวงจุ้ย
ก็ไม่รู้วิธีแก้อีก ก็ยิ่งทำให้เจ้าของบ้านเกิดความกังวล กลัวจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นภายในบ้าน
ส่วนใหญ่เจ้าของบ้าน จะใช้วิธีวิ่งหาซินแสฮวงจุ้ย มาช่วยแก้ให้ ซึ่งทำให้เสียเงินเสียทองค่อนข้างจะมาก
ทั้งๆ ที่บางทีเป็นเรื่องง่ายๆ ที่สามารถทำได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งซินแสเลย
ผมเลยนำเรื่องการแก้ไขฮวงจุ้ยด้วยตนเอง มาเล่าให้ฟังกัน โดยจะยกกรณีที่มักจะ
พบเจอกันอยู่บ่อยๆ และไม่ยุ่งยากในการแก้ไขมากนัก เพราะเรื่องของการแก้ไขฮวงจุ้ยที่ไม่ดีนั้น
มีมากมายหลายวิธีด้วยกัน
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจถึงวิธีการแก้ฮวงจุ้ยว่า มีวิธีอะไรกันบ้าง หลักการแก้
ฮวงจุ้ย เท่าที่ผมสรุปออกมาได้ก็จะมีอยู่ 5 วิธีคือ 1. หลบหลีก 2. หักเห 3. ปรับเป็นพวกเดียวกัน
4. สลายออก และ 5. ต่อสู้ป้องกัน การจะนำวิธีไหนมาใช้นั้น จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของบ้านหลังนั้นเป็นหลัก
คราวนี้ ลองมาดูกรณีต่างๆ ที่เข้าข่ายผิดฮวงจุ้ย ผมจะไล่เลี่ยห้องต่างๆ ภายในบ้านกันก่อน
ไล่ไปที่ละห้องกันเลยครับ เริ่มที่ประตูบ้านกันก่อนประตูหน้าบ้านตรงกับประตูหลังบ้าน
กรณีนี้จะเจอกันอยู่บ่อยๆ ในทาง ฮวงจุ้ย จะบอกว่า ทำให้เงินไหลออก เรียกว่า หาเงินมาเท่าไหร่ก็ไหลออกหลังบ้านหมด
การแก้ไขกรณีนี้ ไม่ยากเลยครับ วิธีที่นิยมใช้กันมากก็คือ หาฉากหรือตู้โชว์มากั้นระหว่างประตูหน้ากับประตูหลังบ้าน
กระแสที่พุ่งตรงระหว่างสองประตู ก็จะถูกหักเหออกไปอีกวิธีหนึ่ง ย้ายประตูหลังหลบประตูหน้า
โดยย้ายไปเปิดด้านข้างแทน อย่าลืมว่า บ้านจะต้องมีประตูหลังเสมอ นี่เป็นกฎพื้นฐานในทางฮวงจุ้ย
บางคนแก้ไขประตูตรงกัน โดยการปิดประตูหลังเสีย หลังบ้านจึงทึบไม่มีทางออก ตำราบอกว่า
จะส่งผลให้บ้านหลังนั้น อุดตัน อับโชค
ซึ่งถ้ามองตามหลักเหตุผล ก็จะหมายถึง บ้านจะอับลม เพราะธรรมชาติของลมจะต้องมีทางเข้าและทางออก
อากาศถึงจะถ่ายเทได้ดี การแก้ไขอะไรก็แล้วแต่ จะต้องดูที่ผลกระทบข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย
ไม่ใช่แก้อย่างหนึ่งแล้วไปเสียอีกอย่างหนึ่ง อย่างนี้ก็ต้องตามแก้กันไม่รู้จบ
ห้องครัว กรณีที่พบบ่อยจะเป็นเรื่องตำแหน่งเตาไฟ กับซิงก์น้ำ ตามหลักฮวงจุ้ยจะบอกเอาไว้ว่า
สองสิ่งนี้ห้ามอยู่ใกล้กัน หรือตรงข้ามกัน เพราะเตาเป็นธาตุไฟ ซิงก์เป็นธาตุน้ำ
ไฟกับน้ำ เป็นธาตุปะทะกัน ส่วนใหญ่การวางเตาไฟกับซิงก์จะวางแยกกันในลักษณะตัวแอล
เตาอยู่ด้านหนึ่ง ซิงก์อยู่ด้านหนึ่ง
กรณีที่เตากับซิงก์น้ำอยู่ติดกัน ให้พิจารณาก่อนว่า ระยะห่างมีมากน้อยแค่ไหน ถ้าห่างเกิน
1 เมตร ถือว่าไม่จำเป็นต้องแก้ เพราะผลกระทบจะไม่เกิด แต่ถ้าอยู่ติดกัน วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือ
ย้ายอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา แต่ถ้าทำไม่ได้ ให้หาฉากสแตนเลสกันความร้อนมากั้นตรงกลาง
ก็ถือว่าใช้ได้
ส่วนกรณีที่เตาไฟกับซิงก์น้ำอยู่ตรงข้ามกัน ถ้าห้องครัวมีพื้นที่กว้างพอ ให้ใช้โต๊ะมาวางขั้นกลาง
แต่ถ้าห้องครัวแคบ ต้องย้ายอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป
ห้องส้วม ลักษณะผิด ฮวงจุ้ย ที่พบบ่อยก็คือ โถส้วม (ชักโครก) มักจะวางตรงกับประตูห้องส้วม
พูดง่ายๆเวลาเปิดประตูก็เห็นชักโครกพุ่งเข้าหาคนที่เดินเข้า อย่างนี้ถือว่าผิดแน่นอน
วิธีแก้ไข ย้ายโถส้วมเข้าด้านใน ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ค่อนข้างจะยาก เพราะจะต้องย้ายท่อน้ำเสียตามไปด้วย
อีกวิธีหนึ่ง ให้หันโถส้วมไปในทิศทางที่ไม่ตรงกับประตู แทนที่จะพุ่งตรงออกมา ก็หันไปด้านข้างแทน
โดยที่ไม่ต้องย้ายตำแหน่ง หรือ ถ้าไม่อยากย้ายโถส้วมก็อาจจะเลือกแก้โดยการเปลี่ยนตำแหน่งของประตูแทนก็ได้
ถ้าไม่อยากย้ายอะไรเลย ก็ให้ปิดประตูห้องส้วมไว้เสมอ พยายามเปิดประตูเข้าออกให้น้อยที่สุด
ก็จะช่วยลดผลกระทบลงได้
ห้องนอน ถือเป็นห้องสำคัญที่สุดในบ้าน มีข้อบัญญัติมากมายเกี่ยวกับห้องนอน แต่ที่พบเจอบ่อยๆก็จะเป็นเรื่องการวางเตียง
ตำแหน่งต้องห้ามในทางฮวงจุ้ยคือ ห้ามวางเตียงตรงกับประตู หรือนอนขวางประตูห้อง
นั่นเอง
การแก้ไขที่ดีที่สุดคือ ย้ายเตียงหลบ หรือไม่ก็ย้ายประตูห้อง การย้ายเตียงหลบน่าจะดีกว่า
ถ้าย้ายไม่ได้ก็ต้องหาฉากมากั้นระหว่างประตูกับเตียง
หัวเตียงเป็นหน้าต่าง หลายคนกังวลกับเรื่องนี้มาก ตำราฮวงจุ้ยพูดเอาไว้จริง แต่การแก้ไขง่ายนิดเดียว
แค่ติดม่านแล้วปิดเวลานอน ปัญหาก็หมดไป
ห้องพระ ตามหลักฮวงจุ้ยจะห้ามวางโต๊ะหมู่บูชา หรือหิ้งพระ ติดกับผนังห้องน้ำ ถ้าจำเป็นต้องวางจะต้องบุผนังด้านที่พิงห้องน้ำด้วยไม้
เพื่อขั้นระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับห้องน้ำ แต่ถ้าย้ายตำแหน่งได้ก็ควรย้ายจะดีที่สุด
ขื่อ,คาน บ้านทุกหลังต้องมีคานด้วยกันทั้งนั้น คานที่มีผลกระทบก็คือ คานที่มองเห็นอย่างเด่นชัด
การแก้ก็เพียงปิดฝ้าเพดาน เพื่อไม่ให้มองเห็นคาน นั่นเอง แต่ถ้าขี้เกียจเสียเงินติดฝ้าเพดาน
ก็ให้เลี่ยงวางของที่สำคัญไว้ใต้คาน เช่น โต๊ะทำงาน เตียงนอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์
เจ้าที่ ฯลฯ
เหลี่ยมเสา เสาที่ถือว่ามีผลกระทบมากที่สุดก็คือ "เสาลอย" เพราะจะเกิดเหลี่ยมเสาถึง
4 ด้าน วิธีแก้ให้หาตู้มาพิงเสาด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อไม่ให้เสาลอย หรือใช้ฉากทำเป็นผนังกั้นไปเลยก็ได้
อีกวิธีหนึ่งลบเหลี่ยมของเสาออก โดยทำเป็นเสากลม อิทธิพลของเหลี่ยมเสาก็หมดไป
ส่วนเหลี่ยมที่เกิดจากมุมเสา ให้ใช้ต้นไม้ไปวางบังเหลี่ยม แค่นี้ก็แก้ไขได้แล้วครับ
เห็นไหมครับ การแก้ ฮวงจุ้ย ไม่ใช่สิ่งที่ยากเลย
การตกแต่งบ้าน ถือเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับคนรักบ้านทั้งหลาย
บางคนลงทุนในเรื่องนี้ มากกว่าราคาบ้านเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการจัดสวน กระเบื้องปูพื้น
รั้วบ้าน ประตูรั้ว เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ผ้าปู สุขภัณฑ์ และอีกมากมาย เรียกว่าทุกบ้านจะต้องมีการตกแต่งทั้งหมด
ผมเลยเอาเรื่องการแต่งบ้านมาพูดถึง แต่ผมจะหยิบเอาการตกแต่งบ้านด้วยรูปภาพมาพูดถึงเท่านั้น
เพราะของตกแต่งบ้านที่ดูเหมือนจะนิยมกันมากที่สุด ก็เห็นจะเป็น "รูปภาพ"
ติดพนังห้องนี่แหละ หลายคนถามผมว่า การเลือกรูปประดับบ้าน ในทางฮวงจุ้ยมีข้อกำหนดอย่างไรบ้างหรือไม่
มีครับ โดยหลักเกณฑ์ในทาง ฮวงจุ้ย จะมีพูดถึงเอาไว้ในเรื่องของการแทนความหมายของภาพ
เพื่อให้เหมาะกับห้องต่างๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องโถง ห้องรับแขก ห้องทำงาน
ห้องนอน ห้องน้ำห้องส้วม หรือห้องอาหาร เพื่อให้มองเห็นภาพชัดขึ้น ผมจะไล่เรียงไปที่ละห้องก็แล้วกันนะครับ
ห้องโถงและห้องรับแขก
รูปภาพที่ใช้ประดับในห้องนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ให้ความรู้สึกที่อบอุ่น
ผ่อนคลาย เพราะเป็นห้องที่อยู่ด้านหน้าสุดของบ้าน เมื่อเดินเข้าบ้านมองเห็นภาพวิว
ก็จะให้ความรู้สึกที่ดีสำหรับแขกที่มาเยือน หรือผู้อยู่อาศัยเองก็ตาม
ในทาง ฮวงจุ้ย ยังให้ความสำคัญในเรื่องความหมายของภาพอีกด้วย อย่างภาพวิวรูปพระอาทิตย์
จะต้องเป็นพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น ห้ามใช้รูปพระอาทิตย์ตกดิน เพราะให้ความหมายที่ไม่เป็นมงคล
ถ้าเป็นภาพทะเล จะต้องเป็นทะเลที่สงบราบเรียบ ให้บรรยากาศที่อบอุ่น ไม่ใช่ทะเลคลั่ง
หรือเป็นรูปเรือกำลังโต้คลื่น อย่างนี้ไม่เหมาะ ถ้าเป็นภาพน้ำตก ก็ไม่ควรหันไปที่ประตูหรือติดใกล้กับประตูทางเข้า
เพราะจะแทนความหมายของโชคลาภที่ไหลออก ควรหันภาพเข้ามาในบ้าน หรือติดห้องอื่นจะดีกว่าห้องรับแขก
นอกจากนี้ ห้องรับแขกยังนิยมติดรูปพระบรมฉายาลักษณ์ หรือรูปองค์เทพต่างๆ เพื่อความเป็นมงคลกับบ้านอีกด้วย
ส่วนใครจะติดรูปตัวเองก็ไม่ได้ผิดกติกาใดๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปครอบครัวเสียล่ะมากกว่าครับ
ห้องทำงาน
บ้านที่มีห้องทำงาน รูปภาพที่เหมาะกับห้องนี้ ในทาง ฮวงจุ้ย บอกว่า ควรใช้รูปภูเขา
และควรติดในตำแหน่งหลังโต๊ะทำงาน เพื่อให้ความหมายว่า พักพิง มั่นคง ห้ามติดตรงข้ามกับโต๊ะทำงาน
เพราะจะทำให้คนทำงานมีความรู้สึกอุดตัน และคิดไม่ออก และลักษณะของภูเขา ควรจะเป็นภูเขากลมมน
ปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีเขียว ห้ามเป็นภูเขาหัวโล้น หรือเขาแหลม จะให้ความหมายที่ไม่เป็นมงคล
ภาพหลังโต๊ะทำงาน ไม่ควรเป็นภาพที่แสดงถึงสิ่งที่เคลื่อนไหว เช่น ภาพน้ำตก ม้าวิ่ง
รถแข่ง ฯลฯ เพราะจะแทนความหมายของความเหน็ดเหนื่อย
รูปภาพภูเขาให้ความหมายที่ดีต่อคนที่นั่งทำงาน แทนความหมายของความมั่นคงถาวร
ห้องนอน
เป็นห้องที่ใช้พักผ่อนนอนหลับ ภาพที่เหมาะสมจึงควรเป็นภาพที่นุ่มนวล เช่น ภาพดอกไม้
สวนดอกไม้ เพราะแทนความหมายของความรักและความอบอุ่น ถ้าจะติดภาพน้ำในห้องนอน ในทางฮวงจุ้ยจะห้ามเอาไว้ว่า
ห้ามติดบริเวณหัวนอน เพราะถือว่าชี่น้ำไหลลงหัว จะทำให้คนนอนไม่สบายได้ง่าย
ภาพที่ไม่ควรติดไว้ในห้องนอน ก็จะเป็นภาพบุคคล ภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภาพอาคารบ้านเรือน
หรือภาพเครื่องจักรเครื่องยนต์ รวมไปถึงภาพประเภท "แอ๊บสแทร็ค"(abstract)
ที่ดูไม่รู้เรื่อง ต้องตีความกันหลายตลบ อย่างนี้ก็ไม่เหมาะเช่นเดียวกัน เพราะห้องนอน
ต้องการพักผ่อน ไม่ควรมองเห็นสิ่งที่ต้องใช้สมองคิดมากเกินไป
ห้องน้ำห้องส้วม
ควรติดภาพต้นไม้ใบหญ้า ภาพป่าหรือสวนที่ให้ความเขียวสด ในทางฮวจุ้ยถือว่า ต้นไม้จะเป็นตัวดูดซับความชื้นภายในห้องน้ำได้เป็นอย่างดี
ภาพป่า ต้นไม้ เหมาะกับห้องน้ำ เพราะต้นไม้แทนความหมายของดูดซับความชื้น
ห้องอาหาร
ห้องอาหารก็ให้ใช้ภาพวิว หรือภาพต้นไม้ที่มีธารน้ำไหล เพราะช่วงเวลาอาหารถือเป็นช่วงที่ได้รับการพักผ่อน
การได้เห็นภาพวิวสวยๆ ย่อมทำให้การบริโภคอาหารมีรสชาติมากขึ้น นอกจาก นี้อาจใช้ภาพอาหาร
หรือผลไม้สดๆ ก็เป็นตัวเร่งให้การบริโภคอาหารอร่อยมากขึ้นอีกด้วย
ห้องพระ
ห้องพระ คงจะติดรูปอะไรอื่นไปไม่ได้ นอกจากภาพที่เกี่ยวกับองค์เทพ พระเกจิต่างๆ
หรือพระบรมฉายาลักษณ์ เพราะเป็นห้องที่ต้องแสดงความเคารพ ต้องการความสงบนิ่ง รูปที่ไม่เหมาะก็คือ
รูปคน (ที่มีชีวิต) หรือรูปอื่นใด ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคารพนับถือ
คงจะพอนะครับ ความจริงแล้ว การติดรูปภาพเพื่อตกแต่งบ้าน มักจะเลือกจากปัจจัยที่เจ้าของบ้านชอบมากกว่า
สิ่งที่ผมนำมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อเป็นแนวทางเล็กๆน้อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร
ไม่จำเป็นจะต้องทำตามที่ผมว่ามาทั้งหมดหรอกนะครับ ถ้าเราไม่ชอบรูปนั้นๆ
จำไว้อย่างหนึ่งก็คือ ภาพที่มองเห็นทุกภาพจะต้องเป็นภาพที่เรามองแล้วรู้สึกดี สบายใจ
ถ้าภาพไหนดูกี่ครั้งก็ไม่ชอบ ก็อย่าได้เอามาติดเลยครับ เสียความรู้สึกเปล่าๆ ถึงแม้ว่า
ตำรา ฮวงจุ้ย จะบอกว่าเหมาะก็ตาม…หลักในการเลือกที่อยู่อาศัยในแบบคอนโดมิเนียมนั้น
จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันอยู่ หลายประเด็นกับบ้านอยู่อาศัยทั่วไป ใครที่กำลังคิดจะหาซื้อคอนโดฯสักห้อง
ลองนำหลักที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ ไปพิจารณาในการตัดสินใจซื้อ ก็จะได้ห้องที่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย
หลักในการพิจารณาคอนโดฯว่า มีฮวงจุ้ยที่ดีหรือไม่นั้น ให้พิจารณาตามนี้ครับ
1. พิจารณาที่ตัวคอนโดฯ ว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีหรือไม่
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า พิจารณาแค่ห้องที่เราจะซื้อเท่านั้น อย่าลืมว่า ห้องที่เราเลือกเป็นส่วนหนึ่งของคอนโดฯทั้งหลัง
ถ้าคอนโดฯทั้งหลังมีฮวงจุ้ยที่ดีแล้ว ห้องที่อยู่ภายในทั้งหมดก็จะได้รับผลดีไปด้วย
แต่ถ้าคอนโดฯฮวงจุ้ยเสีย ต่อให้เลือกตำแหน่งห้องที่ดีที่สุดของคอนโดฯก็ยังได้รับผลเสียอยู่ดี
คอนโดฯที่ได้ชื่อ ว่า ฮวงจุ้ยดี จะต้องเข้าข่าย ดังต่อไปนี้
- คอนโดฯอยู่ใกล้แหล่งชุมชน ไม่อยู่โดดเดียวหลังเดียว
- เส้นทางเข้าสู่คอนโดฯ ต้องไม่อยู่ห่างจากถนนใหญ่มากเกินไป
- สิ่งปลูกสร้างรอบๆคอนโดฯ ต้องไม่มีลักษณะร้าย เช่น สะพานลอย ทางด่วน ทางรถไฟ
ทางยกระดับพาดผ่าน หรือมีเสาไฟฟ้าแรงสูง เสาอากาศวิทยุหรือโทรทัศน์ขนาดใหญ่อยู่ใกล้
- คอนโดฯต้องไม่มีเหลี่ยมมุมของอาคารข้างเคียงพุ่งเข้าสู่อาคาร หรือคอนโดฯอยู่ระหว่างซอกตึกของอาคารตรงข้าม
- คอนโดฯต้องไม่แวดล้อมด้วยอาคารที่สูงกว่า
- คอนโดฯอยู่ติดวัด ศาลเจ้า สุสาน ป่าช้า ถือว่าฮวงจุ้ยไม่ดี
2. การหาตำแหน่งห้องที่ดี จะต้องพิจารณาด้านทั้งสี่ของอาคารเป็นหลัก คำถามที่ผม
มักเจออยู่บ่อยๆ ก็เห็นจะเป็น "จะเลือกห้องไหนถึงจะดี" หลักในการเลือกจะต้องดูด้าน
ทั้ง 4 ของคอนโดฯ ดูว่าด้านไหนดีที่สุดก็เลือกด้านนั้น ด้านที่ดีส่วนใหญ่จะเป็นที่โล่ง
ไม่มี อาคารอื่นปิดบังห้อง มีสวน สระน้ำ แม่น้ำ ทะเลสาบ หรือทัศนียภาพที่สวยงาม
3. ดูทิศทางเพื่อเลือกตำแหน่งห้อง การดูทิศถือว่าสำคัญมาก
การจะเลือกห้องอยู่ทาง ทิศไหนนั้น มีหลักให้พิจารณาง่ายๆ ดังนี้
- ด้านเหนือ อับลม
- ด้านใต้ รับลม
- ด้านตะวันออก รับแสงตอนเช้า
- ด้านตะวันตก รับแสงตอนบ่าย
จะเห็นได้ว่า ด้านใต้กับตะวันออกจะเป็นด้านที่ดี เพราะได้ประโยชน์จากลมและแสงแดด
อย่าลืมว่า ห้องคอนโดฯไม่เหมือนกับบ้านเป็นหลัง เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ มีช่องทางเข้าสู่ห้องเพียงด้านเดียว(ระเบียง)
ความสมดุลในเรื่องของลมและแสงจะไม่สมดุลอยู่แล้ว ถ้าเลือกตำแหน่งห้องที่อับลมอีก
ห้องนั้นจะไม่มีการหมุนเวียนของลมเลย ย่อมส่งผลเสียต่อผู้อยู่อาศัยได้ง่าย โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพ
หลัก 3 ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงปัจจัยเบื้องต้นในการสังเกตลักษณะภายนอกของคอนโดฯที่ดีและไม่ดี
หลังจากนั้นค่อยไปเลือกตำแหน่งห้องภายในคอนโดฯอีกที การจะรู้ว่าห้องไหนดีกว่าห้องไหนนั้น
คงต้องรออ่านตอนหน้าแล้วล่ะครับ
ผมพูดถึงหลักในการเลือกซื้อคอนโดมิเนียม โดยพิจารณาจากสภาพแวดล้อมไปแล้ว แต่คนส่วนใหญ่มักจะถามผมเสมอว่า
เกิดปีนี้ราศีนี้ ควรจะอยู่คอนโดฯแบบใดทิศใดถึงจะดี ผมคงต้องบอกกันก่อนว่า การนำเรื่องของดวงชะตาบุคคลมาพิจารณานั้น
เป็นปัจจัยเสริมมากกว่าจะเป็นโจทย์หลักในการใช้ตัดสิน
หลายคนเข้าใจผิดในเรื่องนี้มาก ซึ่งทำให้การวิเคราะห์ฮวงจุ้ยผิดเพี้ยนไปได้ หลักในการวิเคราะห์ว่า
ฮวงจุ้ยดีหรือไม่ดี จะต้องนำเรื่องของสภาพแวดล้อม (ชัยภูมิ) มาเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณา
ตามหลักฮวงจุ้ย จะกำหนดปีเกิดกับทิศทางที่สมพงศ์กัน การเลือกตำแหน่งห้องในคอนโดฯ
จึงพิจารณาทิศที่ถูกโฉลกกับเจ้าของห้องเป็นหลัก ใครเกิดปีใดควรจะอยู่ทิศใด เพื่อให้ง่ายเข้าผมจะสรุปออกมาให้ดูว่า
ใครเกิดปีอะไรควรจะเลือกคอนโดฯอยู่ทางทิศใด
ปีกุนและปีชวด คนเกิด 2 ปีนี้ในทางฮวงจุ้ยจะจัดเป็นคนธาตุน้ำ
ทิศทางที่ถูกโฉลกจะเป็นทิศเหนือ ตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนทิศต้องห้ามจะเป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ตะวันตกเฉียงใต้
ปีขาลกับปีเถาะเป็นบุคคลธาตุไม้ ทิศดีจะต้องเป็นทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงใต้ และทิศเหนือ
ส่วนทิศร้ายจะเป็นทิศตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ
ปีมะเส็งกับปีมะเมีย เป็นคนธาตุไฟ ทิศที่ถูกโฉลกคือ ทิศใต้ ตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้
หลีกเลี่ยงทิศเหนือ เพราะเป็นทิศปะทะโดยตรง
ปีวอกกับปีระกา เป็นคนธาตุทอง ทิศที่เหมาะกับคนธาตุทองคือ ตะวันตก ตะวันตกเฉียงใต้
และตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนที่ทิศไม่เหมาะก็คือทิศใต้
ปีฉลู มะโรง มะแม จอ จัดเป็นคนธาตุดิน จะถูกโฉลกกับทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้
และทิศใต้ ส่วนทิศต้องห้ามจะเป็นทิศตะวันออก กับตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อรู้ตำแหน่งทิศที่ถูกโฉลกกับปีเกิดแล้ว วิธีเลือกห้องคอนโดฯ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
วิธีหาตำแหน่งก็พิจารณาทิศจริงของคอนโดฯ โดยหาจุดกึ่งกลางของคอนโดฯแล้วแบ่งทิศออกเป็น
8 ทิศหลัก
ใครควรจะเลือกตำแหน่งห้องอยู่ด้านไหน มุมไหนของคอนโดฯ ก็รู้ได้ทันที ถ้าไม่สามารถเลือกทิศที่ถูกโฉลกได้
(กรณีมีคนเลือกไปแล้ว) ก็สามารถเลือกตำแหน่งห้องที่อยู่ในทิศทางอื่นได้ ยกเว้นทิศที่ไม่ถูกโฉลกเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น คนเกิดปีเถาะ ธาตุไม้ ถ้าไม่สามารถเลือกทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงใต้
หรือทิศเหนือซึ่งเป็นทิศถูกโฉลกได้ ก็สามารถที่จะเลือกห้องทางทิศใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ
หรือตะวันตกเฉียงใต้ แทนก็ได้ ยกเว้นทิศตะวันตก กับทิศตะวันตกเฉียงเหนือเท่านั้น
เพราะเป็นทิศไม่ถูกโฉลก
ก็คงต้องย้ำกันอีกที่ว่าอย่าไปซีเรียสให้มากนักในเรื่องนี้
ถึงแม้ว่าห้องจะไม่ตรงตามทิศที่ถูกโฉลกกับตัวเอง แต่ถ้าชัยภูมิหรือสภาพแวดล้อมของห้องนั้นดี
ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร
กรณีกลับกัน ถ้าห้องที่เลือกถูกโฉลกถูกตำแหน่งกับปีเกิด แต่อยู่ใน
สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น มีตึกบังลม ห้องติดกับสุสาน หรือมีหม้อแปลงไฟฟ้าอยู่ตรงกับห้อง
อย่างนี้ถือว่า เสียหาย ไม่ควรเลือกโดยเด็ดขาด
เห็นไหมครับ อย่าใช้หลักการพิจารณาแค่ทิศให้ถูกกับดวงชะตาเพียงอย่างเดียว จะต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆประกอบไปด้วย
หลายๆคนผิดพลาดในเรื่องนี้ ก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง
กฎเกณฑ์ต่างๆในทางฮวงจุ้ยเป็นร้อยเป็นพันข้อนั้น ไม่ใช่กฎเกณฑ์ตายตัว ทุกข้อห้ามข้อบัญญัติ
จะมีข้อยืดหยุ่นหรือข้อยกเว้นอยู่เสมอ เหตุผลก็เพราะ สภาพแวดล้อมในแต่ละสถานที่
ย่อมมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกันเลย ร้อยบ้านก็ร้อยแบบ อย่างอาคารพาณิชย์หรือห้องแถว
ซึ่งหลายๆคนจะมองว่า เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแบบ รูปทรง หรือทิศทาง
แต่หลายคนลืมไปว่า จุดที่แตกต่างก็คือ ตำแหน่งของห้องที่ไม่เหมือนกัน ห้องที่อยู่หัวมุม
ย่อมต่างจากห้องที่อยู่ตรงกลาง หรือแม้แต่ห้องที่อยู่ติดกันก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน
เพราะยังมีเงื่อนไขของการจัดวางข้าวของภายในห้องอีก ซึ่งแต่ละที่ก็มีการจัดที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น ควรนำหลายๆปัจจัยมาพิจารณา และที่สำคัญไม่จำเป็นจะต้องถูกต้อง 100
% เพราะไม่มีฮวงจุ้ยที่ไหนถูกต้อง 100 % หรอกครับ เอาแค่ให้ถูกเกิน 50-60 % ก็ถือว่าดีแล้วครับ
ชัยภูมิถูก ทิศผิด ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ต้องไปกังวลให้เครียดกันเปล่าๆ
"เจ้าที่" คำๆ นี้ ดูเหมือนว่า จะคุ้นเคยกันดีไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนจีน
ประเพณีปฏิบัติในการไหว้เจ้าที่ ถูกสืบทอดกันมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีมาแล้ว จนมาถึงปัจจุบันก็ยังปฏิบัติกันอยู่
การตั้งศาลเจ้าที่ จึงมักจะทำกันเป็นเรื่องปกติ
ศาลเจ้าที่ของคนไทย มักจะเรียกว่า "ศาลตา-ยาย" ซึ่งจะตั้งอยู่คู่กับศาลพระภูมิหลายคนคงเคยเห็น
ส่วนศาลเจ้าที่ของคนจีนจะเรียกว่า "ตี่จูเอี๊ย" เป็นศาลที่ตั้งอยู่ภายในบ้าน
วางอยู่ติดกับพื้นบ้าน สีแดงๆ คงจะนึกออกนะครับ "ศาลเจ้าที่จำเป็นจะต้องตั้งหรือไม่
ถ้าไม่ตั้งจะเกิดอะไรขึ้น…?"
ผมเองถูกตั้งคำถามแบบนี้อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยอยากตั้งศาลเจ้าที่กันสักเท่าไหร่
โดยเฉพาะศาลเจ้าที่แบบจีนที่ต้องตั้งไว้ในบ้าน เพราะทำให้บ้านดูไม่สวย จัดบ้านยาก
หรือไม่ก็อ้างว่าไม่มีเวลาดูแลบ้าง นั่นเป็นเหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้ไม่อยากตั้งศาลเจ้าที่ในบ้าน
ก่อนอื่นคงทำความเข้าใจคำว่า "เจ้าที่" กันก่อนนะครับ ความหมายของเจ้าที่
ก็คือ เจ้าของที่ดินที่เราเข้าไปอาศัยอยู่ หรือปลูกบ้านบนที่ดินนั้น เจ้าของที่ดินในที่นี้
หมายถึง เจ้าของที่ดิน (เดิม) ที่ตายไปแล้วนะครับ ไม่ใช่คนเป็น อย่างหมู่บ้านที่เราไปซื้อบ้านอยู่
ซึ่งในหมู่บ้านนั้นอาจมีบ้านเป็นร้อยๆ หลัง เจ้าที่อาจมีเพียงคนเดียวก็ได้
เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นว่า บ้านทุกหลังจะต้องมีเจ้าที่ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า บ้านร้อยหลังก็ต้องมีเจ้าที่ร้อยตน
นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างมาก ผมเองได้เคยถามผู้รู้หลายต่อหลายคน เกี่ยวกับเจ้าที่ก็ได้รับคำอธิบายว่า
เจ้าที่ จะมีอยู่ 2 ประเภทคือ เจ้าที่แท้ กับเจ้าที่จร
"เจ้าที่แท้" ก็คือ ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิม เมื่อตายไปแล้วก็ยังเฝ้าที่ดินของตัวเองอยู่
ไม่ยอมไปเกิด ประเภทปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เมื่อมีคนเข้าไปอยู่ก็ต้องทำพิธีขออนุญาต
และตั้งศาลเจ้าที่บูชาเพื่อแสดงความเคารพต่อเจ้าของสถานที่
"เจ้าจร" คือ วิญญาณเร่ร่อนอยู่บริเวณนั้น เมื่อเจ้าที่เดิมไปเกิดแล้ว
ที่บริเวณนั้นก็กลายเป็นที่สาธารณะ พวกวิญญาณเหล่านี้ ก็สามารถเข้าไปจับจองพื้นที่
อาจเข้าไปอยู่บ้านโน่นบ้านนี้ บ้านไหนเลี้ยงดูดีก็อาจจะขออยู่ประจำบ้านหลังนั้น
กลายเป็นเจ้าที่บ้านนั้นไป
บ้านบางหลังที่มีการตั้งศาลเจ้าที่ (ตี่จูเอี๊ย) เมื่อไปตรวจเช็คดูแล้ว อาจไม่มีเจ้าที่อยู่เลยก็มีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ
พูดง่ายๆ มีแต่ศาลเปล่าๆ ไม่มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ ซึ่งอาจจะเข้าข่ายประเภทเจ้าที่จร
การกราบไหว้บูชาก็อาจจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น
กรณีที่เป็นการอยู่อาศัยในหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีศาลเจ้าที่ของหมู่บ้านเป็นศาลกลางที่คนในหมู่บ้านสามารถกราบไหว้บูชาได้
กรณีนี้การตั้งศาลเจ้าที่ภายในบ้าน อาจไม่จำเป็นต้องตั้งก็ได้ เพราะถือว่า มีศาลเจ้าที่ใหญ่ให้กราบไหว้อยู่แล้ว
แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไปสร้างบ้านอยู่ในพื้นที่อื่นๆ การตั้งศาลอาจมีความจำเป็นเพราะเราไม่รู้ว่า
มีเจ้าที่อยู่หรือไม่ ยิ่งถ้าเป็นพื้นที่ ที่มีสภาพแวดล้อมที่เป็นหยินมากๆ เช่น
เป็นที่เปลี่ยว รกร้าง ใกล้วัด มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมรอบๆ บริเวณบ้าน ก็ให้สันนิฐานเอาไว้ก่อนว่า
มีวิญญาณอยู่บริเวณนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเจ้าที่แท้หรือจร ก็แล้วแต่
การตั้งศาลเจ้าที่นั้น สิ่งที่จะต้องคำนึงถึง ก็คือ การหาตำแหน่งการตั้งศาลที่ถูกต้อง
เพราะถ้าตั้งผิดตำแหน่งผิดที่ อาจส่งผลกระทบได้ ลักษณะชัยภูมิที่ถูกต้องของการตั้งศาล
จะต้องเป็น ดังต่อไปนี้
1. การตั้งตรงกับประตูทางเข้าบ้าน ตำแหน่งศาลที่ถูกต้อง เวลาเดินเข้าบ้านจะต้องมองเห็นทันที
ซึ่งตำแหน่งที่ตรงกับประตูถือเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะวางตำแหน่งนี้กันอยู่แล้ว
แต่จะมีบางกรณีเท่านั้น ที่ศาลเจ้าที่อาจวางตำแหน่งอื่น เช่น ด้านข้างของตัวบ้าน
ซึ่งมักจะเป็นการวางเพื่อแก้ไขฮวงจุ้ยมากกว่า
2. ห้ามวางศาลหลบมุม หรือมีสิ่งของมาปิดบังหน้าศาล บริเวณหน้าศาลเจ้าที่จะต้องมีพื้นที่โล่ง
ห้ามมีสิ่งใดมาปิดบัง บางบ้านเอาศาลไปวางหลบอยู่ด้านหลังบ้าน เดินเข้าบ้านมองไม่เห็นศาล
ลักษณะแบบนี้ก็เข้าข่ายวางศาลผิด
3. ห้ามวางศาลพิงห้องน้ำ นี่ถือเป็นตำแหน่งต้องห้ามเลยทีเดียว เพราะศาลเจ้าที่ถือเป็นธาตุไฟ
เมื่อนำไปพิงห้องน้ำ (ธาตุน้ำ) ก็เท่ากับเอาน้ำไปพิฆาตไฟ ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลก็จะเสื่อมถอยลง
หลายบ้านที่วางแบบนี้ มักจะไม่มีเจ้าที่ มีแต่ศาลเปล่าๆ ตั้งอยู่เท่านั้น
4. ห้ามวางศาลใต้บันได หรือบริเวณทางขึ้นลงบันได กรณีแบบนี้จะพบบ่อยสำหรับอาคารพาณิชย์
ที่หาตำแหน่งในการวางเจ้าที่ค่อนข้างยาก เพราะพื้นที่มีน้อย บริเวณบันไดจะก่อสภาพที่เคลื่อนไหว
ศาลเจ้าที่ต้องการความนิ่งสงบ การเอาศาลไปวางบริเวณบันได ไม่ว่าจะเป็นใต้บันได
หรือทางขึ้นลงบันได ก็เท่ากับรบกวนเจ้าที่โดยตรง ตำราฮวงจุ้ยบอกว่า เจ้าที่มักไม่ค่อยอยู่บ้าน
(ชอบเที่ยว)
5. ห้ามวางศาลใต้คาน ศาลจะถูกคานกดทับ ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลลดทอนลงไปได้เช่นเดียวกัน
การตั้งศาลเจ้าที่ภายในบ้าน มีเงื่อนไขค่อนข้างจะมาก จึงมีคำกล่าวว่า ถ้าไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสม
ก็ไม่ควรตั้งศาล เพราะถ้าตั้งอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี การไม่ตั้งศาลเจ้าที่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
หลายคนกลัวมากจนเกินเหตุ บ้านที่ไม่มีศาลใช้วิธีไหว้เจ้ากลางแจ้งในช่วงเทศกาลต่างๆ
แทนก็ได้
กรณีที่ตั้งศาลเจ้าที่แล้วไม่ดูแล ปล่อยศาลทิ้งร้างไม่เคยกราบไหว้บูชาเลย อย่างนี้ก็อย่าตั้งเสียดีกว่า
ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่มีเวลา เพราะถ้าเจอเจ้าที่ประเภทจู้จี้ เจ้าระเบียบ ก็อาจจะเจอดีโดนเจ้าที่เล่นงานเอา
ทำให้ป่วยบ้าง ทำให้ทะเลาะกันบ้าง หรือไม่ก็ทำให้ลูกจ้างเข้าๆ ออกๆ จนเจ้าของบ้านปวดหัวได้
สรุปก็คือ การจะตั้งศาลเจ้าที่หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ลองถามตัวเองดูว่าอยากตั้งหรือไม่
ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องตั้ง เพราะถ้าฝืนใจตั้งไปแล้วไม่เคารพบูชา ปล่อยปะละเลย ก็จะเกิดผลเสียมากกว่า
ศาลเจ้าที่เป็นเรื่องของความเชื่อและความศรัทธา ถ้าเจ้าบ้านไม่มีตรงนี้ก็ไร้ประโยชน์ครับ
ถ้าอยากตั้งก็ต้องทำให้ถูก ถ้าไม่ถูกก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน ลองพิจารณาดูนะครับว่า
ควรตั้งศาลเจ้าที่หรือไม่ คำตอบอยู่ที่ตัวเราเองครับ…
บ้านเดี่ยวแบบชั้นเดียว ไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนัก และสมัยนี้ก็ไม่ค่อยนิยม
สร้างบ้านชั้นเดียวกันเท่าใด เพราะพื้นที่การใช้สอยน้อย ไม่คุ้มกับราคาที่ดิน ในพื้นที่ดินที่เท่ากัน
สู้สร้างบ้าน 2 ชั้นจะดีกว่า
บ้านชั้นเดียวในทางฮวงจุ้ยถือว่าดีหรือไม่..?
ถ้ามองตามหลักฮวงจุ้ยโดยตรง ก็ไม่ถึงกับเสียหายอะไร แต่การจัดฮวงจุ้ยภายในบ้านจะทำได้ยากกว่าบ้าน
2 ชั้น เพราะบ้านชั้นเดียวห้องต่างๆ จะรวมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นห้องรับแขก,
ทำงาน ครัว ห้องส้วม ห้องพระ และห้องนอน ถ้าจัดวางไม่ถูกต้อง จะก่อผลกระทบได้ง่ายกว่าบ้าน
2 ชั้น
เพราะฉะนั้น บ้านชั้นเดียวที่ดี ควรมีลักษณะบ้านที่กว้างพอสมควร เพื่อที่จะได้จัดแบ่งพื้นที่ภายใน
ทำเป็นห้องต่างๆได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมภายนอกบ้าน ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน
บ้านชั้นเดียวเหมาะที่จะสร้างในพื้นที่โล่ง เพราะบ้านที่ต่ำจะไม่ปะทะกับลม เหมือนบ้าน
2 ชั้น 3 ชั้น
ถ้าบ้านชั้นเดียวไปอยู่ท่ามกลางบ้านที่สูงกว่า หรือพวกตึกสูงก็จะทำให้ฮวงจุ้ยบ้านเสียทันที
ในทางฮวงจุ้ยจะถือว่า ถูกกดข่ม คนในบ้านจะรู้สึกต่ำต้อย ดูด้อยกว่าบ้านอื่น นอกจากนี้
การมีบ้านที่สูงกว่าอยู่ติดกัน ยังเป็นตัวปิดกั้นลมที่จะพัดเข้าบ้านอีกด้วย ส่งผลให้สุขภาพของคนในบ้านไม่ดีอีกด้วย
ถ้าเจ้าของบ้านอยากสร้างบ้านชั้นเดียว แต่ต้องแวดล้อมไปด้วยบ้านที่สูงกว่า ก็สามารถทำได้ครับ
โดยการสร้างบ้านบนเนิน เพื่อยกระดับของพื้นไม่ให้ต่างกับบ้านข้างเคียงมากนัก หรือออกแบบรูปทรงบ้านให้ดูสูงโปร่ง
ก็พอช่วยได้เช่นเดียวกัน หลักการก็คือ เวลามองจากภายนอก บ้านต้องไม่ดูด้อยกว่าบ้านข้างเคียงเป็นใช้ได้
คราวนี้มาดูที่การจัดภายในบ้านกันบ้าง ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า บ้านชั้นเดียวการจัดภายในค่อนข้างจะยาก
เพราะห้องต่างๆจะรวมอยู่ชั้นเดียวกันหมด วิธีการจัดให้สอดคล้องกับหลักฮวงจุ้ย ตำราจะบอกเอาไว้ว่า
การจัดผังภายในบ้านชั้นเดียว ควรมีห้องโถงกลาง แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน โดยแบ่งส่วนของห้องนอน
แยกต่างหากจากห้องรับแขก กับห้องครัว เพราะห้องรับแขก ที่สถานที่รับแขก ไม่เหมาะที่จะมีห้องนอนอยู่ใกล้
เพราะเป็นห้องนอนถือเป็นห้องส่วนตัว ส่วนห้องครัว จะมีมลภาวะเรื่องกลิ่น และควัน
จะกระทบกับคนนอนได้
การจัดบ้านชั้นเดียวอีกลักษณะหนึ่ง ที่ดูจะเหมาะสมกว่าก็คือ การทำเป็นบ้านเล่นระดับ
เพราะการเล่นระดับของพื้นภายในบ้าน จะช่วยในการแบ่งพื้นได้ชัดเจนกว่า เช่น ส่วนของห้องรับแขก
ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องอาหาร เล่นระดับต่ำ ส่วนห้องนอน ห้องพระ เล่นระดับสูง การทำบ้านแบบเล่นระดับจะเหมาะกับบ้านชั้นเดียวมาก
เพราะจะแบ่งส่วนของการนอนกับห้องต่างๆได้ง่าย
กรณีของบ้านที่ต้องการวางพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านชั้นเดียวนั้น จะหาตำแหน่งวางค่อนข้างจะยาก
เพราะเงื่อนไขการวางพระมีมาก เช่น ห้ามติดกับห้องส้วม ห้องครัว หรือภายในห้องนอนก็วางไม่ได้
วางในที่ต่ำก็ไม่เหมาะ ถ้าเป็นบ้านเล่นระดับก็จะเลือกวางระดับที่สูงมากกว่าต่ำ
แต่ถ้าไม่ใช่เล่นระดับ ส่วนใหญ่จะวางในห้องโถง หรือห้องรับแขก ซึ่งเป็นห้องส่วนกลางของคนในบ้าน
สำหรับเจ้าของบ้านที่ชอบจัดสวน ปลูกต้นไม้รอบๆบ้าน มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ
อย่าปลูกต้นไม้มากจนเกินไป โดยเฉพาะต้นไม้ใหญ่ เพราะจะทำให้เกิดภาวะของ"อินชี่"
ต้นไม้จะปกคลุมบ้านจนมืดครึ้ม ความชื้นภายในบ้านจะมาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในบ้าน
อย่างแน่นอน ใครที่อยู่บ้านชั้นเดียว หรือกำลังคิดจะสร้างบ้านชั้นเดียว ลองเอาหลักที่ผมบอกไปใช้ดู
รับรองว่า บ้านจะน่าอยู่มากขึ้นแน่ๆ…ห้องพระ เป็นอีกห้องหนึ่งที่จะต้องนำมาพิจารณากัน
ถ้าบ้านหลังนั้นกำหนดให้มีห้องพระ บางบ้านอาจจะไม่มีห้องพระก็ได้ อาจทำแค่หิ้งพระเล็กๆ
แทน ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่ความต้องการของเจ้าของบ้านเป็นหลัก
การกำหนดห้องพระให้อยู่ส่วนไหนของบ้านนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่หลายประการทีเดียว แต่ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า
เรื่องห้องพระเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจใช้หลักเหตุผลอย่างเดียวมาวิเคราะห์ไม่ได้
เพราะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่หาคำอธิบายได้ยาก
1. ห้องพระวางชั้นบนดีกว่าชั้นล่าง การกำหนดผังบ้าน พยายามเลือกวาง
ห้องพระเอาไว้ชั้นบนสุด ไม่ว่าบ้านจะกี่ชั้นก็ตาม เพราะพระเป็นของสูง เป็นที่สักการะบูชา
การวางต่ำกว่าคนในบ้าน ย่อมไม่เป็นมงคลแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะวางห้องพระชั้นล่างไม่ได้
เพียงแต่ว่า การวางห้องพระชั้นล่าง จะมีข้อจำกัดมากมาย และการหาตำแหน่งในการวางห้องพระค่อนข้างจะยาก
เพราะชั้นล่าง จะเต็มไปด้วยห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องส้วม
นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาห้องที่อยู่ชั้นบนอีกด้วยว่า ห้องชั้นบนที่ตรงกับห้อง
พระชั้นล่าง เป็นห้องอะไร ถ้าเป็นห้องส้วม ห้องนอน ก็จะห้ามเอาไว้อีก บ้านที่เอาห้องพระไว้ชั้นล่าง
ชั้นบนที่ตรงกับห้องพระจะต้องเป็นห้องว่าง ที่ไม่มีคนอยู่ถึงจะใช้ได้ห้องนอนตรงกับห้องพระชั้นล่าง
ถ้าพระตรงกับเตียงถือเป็นข้อห้าม
2. ห้องพระห้ามติดกับห้องส้วม เหตุผลในเชิงฮวงจุ้ยบอกว่า ห้องส้วมเป็นธาตุน้ำ ห้องพระเป็นธาตุไฟ
ตามกฎเบญจธาตุ ( 5 ธาตุ) ธาตุน้ำพิฆาตธาตุไฟถ้ามีความจำเป็นจะต้องวางห้องพระติดกับห้องส้วม
ควรหาตู้มาพิงผนังห้องส้วม แล้วหันพระไปทางอื่นที่ไม่ตรงกับห้องส้วม บ้านที่เอาห้องพระวางติดกับห้องส้วม
ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระจะเสื่อม เพราะถูกพลังของธาตุน้ำ บั่นทอน นั่นเอง เพราะฉะนั้น
ควรหลีกเลี่ยงวางห้องพระติดกับห้องส้วม ถ้ามีความจำเป็นจะต้องวางติดกัน ก็ไม่ควรวางองค์พระพิงผนังห้องส้วม
และหาตู้มาพิงด้านที่เป็นกำแพงห้องส้วมเอาไว้ ก็จะถือว่าใช้ได้
3. ห้องพระต้องอยู่ในทำเลที่สงบ ลองพิจารณาดูพื้นที่บ้านสิว่า มีมุม ไหนที่ไม่พลุกพล่าน
เป็นมุมสงบบ้าง ห้องพระต้องการความสงบนิ่ง ไม่ใช่อยู่ในตำแหน่งที่วุ่นวาย เช่น
ติดกับห้องเอนเตอร์เทน ที่มีเสียงดังจากทีวี วิทยุ ห้องครัว ซึ่งนอกจากมีเสียงทำกับข้าวแล้ว
ยังมีกลิ่นมารบกวนความสงบอีกด้วย ห้องรับแขก ที่มีเสียงคุยกัน เพราะฉะนั้น การเลือกวางห้องพระเอาไว้ชั้นบน
น่าจะหามุมสงบได้ง่ายกว่า เพราะจะมีแต่ห้องนอนเป็นส่วนใหญ่4. ห้องพระติดห้องนอน
ต้องระวังเรื่องการวางเตียง กรณีที่วางตำแหน่งห้องพระติดกับห้องนอน จะต้องพิจารณาเรื่องการวางเตียงนอน
เป็นประเด็นสำคัญห้ามวางเตียงในลักษณะหันปลายเท้าไปที่ห้องพระ เพราะถือเป็นการไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ตำแหน่งเตียงนอน ควรวางในลักษณะที่ขวางกับห้องพระ ห้ามวางเอาปลาย เตียงหันไปที่ห้องพระ
เพราะคนนอนจะเอาเท้าหันไปที่ห้องพระ ซึ่งถือว่าไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นมงคลกับคนที่นอน
กรณีที่เอาหัวเตียงไปที่ห้องพระ ต้องพิจารณาว่า ถ้าตำแหน่งขององค์พระหรือ โต๊ะหมู่บูชาไม่ติดกับหัวเตียง
ก็สามารถวางได้ แต่ถ้าติดกันจะถือว่าเสีย เพราะคนนอนจะได้รับอิทธิพลของธาตุไฟ ทำให้ปวดหัวได้ง่าย
นอนไม่ค่อยหลับ
5. ห้องพระห้ามต่ำกว่าห้องอื่น กรณีที่เป็นบ้านเล่นระดับ ห้องพระจะต้อง เลือกวางในตำแหน่งที่สูงกว่าห้องอื่นๆ
โดยเฉพาะห้องที่มีคนอยู่ เพราะโดยหลักแล้วคนห้ามนอนสูงกว่าพระ แต่ถ้าห้องที่สูงกว่าไม่มีคนอยู่
เช่น เป็นห้องว่าง ห้องเก็บของ ก็จะอนุโลมให้ทำห้องพระได้
"ห้องพระควรวางหน้าบ้านจริงหรือไม่"
ความจริงแล้วเรื่องการวางห้องพระหน้าบ้านหรือหลังบ้านนั้น ในตำรา ฮวงจุ้ย ไม่ได้ระบุเอาไว้ชัดเจน
เพียงแต่บอกว่า ตำแหน่งหน้าคือ "โชคลาภ" ตำแหน่งหลังคือ "บารมี"
และจากประสบการณ์ที่ผมไปตระเวนดูบ้านมามากมาย ส่วนใหญ่ก็มักจะวางห้องพระไว้ส่วนด้านหลังมากกว่าด้านหน้าของบ้าน
ซึ่งเหตุผลก็คงเป็นเรื่องของความนิ่งสงบมากกว่า บริเวณหน้าบ้านค่อนข้างจะพลุกพล่าน
แต่ถ้ามองตามหลัก ฮวงจุ้ย การวางห้องพระด้านหลังก็น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะด้านหลัง
แทนความหมายของ "บารมี" นอกจากนี้ ด้านหลังตามหลักชัยภูมิก็มีสภาพเป็น
"หยิน" คือ นิ่ง (หน้าเป็นหยางที่เคลื่อนไหว) ก็จะเป็นชัยภูมิที่ถูกต้อง
กฎเกณฑ์ในการวางตำแหน่งห้องพระในบ้าน ความจริงแล้วยังมีเรื่องของทิศและ ตำแหน่งของดวงดาวที่จะต้องนำมาพิจารณาด้วย
แต่ผมว่า เอาชัยภูมิให้ได้เสียก่อน เพราะเรื่องทิศและเรื่องของดาวยังเป็นเรื่องรอง
และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนพอสมควร ต้องวัดกันเป็นองศา คงต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญด้าน
ฮวงจุ้ย จะดีกว่า…
“ห้องนอน” ถือเป็นห้องที่คนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญมากที่สุด และเนื้อที่ใช้สอยก็มีมากกว่าห้องอื่นๆ
ในบ้าน เรียกว่า ครึ่งหนึ่งของบ้านเป็นพื้นที่ของห้องนอนก็ว่าได้
หัวใจของบ้านอยู่อาศัย ก็อยู่ที่ห้องนอนนี่แหละ เพราะบ้านเป็นที่ใช้สำหรับพักผ่อนนอนหลับ
ไม่ใช่ที่ทำงาน เพราะฉะนั้น การใส่ใจในการเลือกตำแหน่งห้องนอน แบบห้องนอน จึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษกว่าห้องอื่นๆ
การเลือกวางตำแหน่งห้องนอนลงในผังบ้านนั้น จะให้พิจารณาห้องนอนใหญ่ หรือห้องนอนเจ้าของบ้านเป็นอันดับแรก
หลังจากนั้น ค่อยพิจารณาห้องอื่นๆ เช่น ห้องลูก ห้องพ่อแม่ ห้องคนใช้ ตามลำดับ
เจ้าของบ้านจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของบ้าน เพราะถือเป็นผู้นำของบ้าน จะต้องอยู่แล้วมีกำลังมากที่สุบางคนไปให้ความสำคัญกับห้องลูก
หรือห้องพ่อแม่มากกว่าห้องตัวเองด
จนทำให้ เจ้าของบ้านอยู่แล้วไม่มีกำลัง เจ็บป่วยไม่สบาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวโดยรวม
เพราะฉะนั้น การวางผังห้องนอน จึงต้องคำนึงถึงห้องเจ้าของบ้านเป็นหลักเสียก่อน
ในทาง ฮวงจุ้ย จะเรียกว่า “ห้องนอนประธาน” ส่วนห้องอื่นๆจะเป็นห้องบริวาร ซึ่งจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่รองลงมาหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกวางตำแหน่งห้องนอน
จะต้องดูอะไรบ้างนั้น ให้พิจารณา ดังนี้
1. สภาพแวดล้อม การจะกำหนดห้องนอน เอาไว้ด้านหน้าหรือด้านหลังของบ้าน จะอยู่ด้านซ้ายหรือด้านขวา
ก่อนอื่นจะต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆบ้านเสียก่อน ตามหลักฮวงจุ้ยจะบอกเอาไว้ว่า
สิ่งที่จะมีผลกระทบต่อห้องนอนโดยตรง ที่มองเห็นได้ชัดก็คือ สิ่งปลูกสร้างภายนอกบ้าน
เช่น จั่วสามเหลี่ยมบ้านตรงข้าม หม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ถนนหรือทางที่อยู่ตรงกับห้อง
วัด สุสาน เมรุเผาศพ
โรงงานอุตสาหกรรม (ที่มีมลภาวะ) บ้านร้าง ต้นไม้ตายซาก ฯลฯ ตำแหน่งห้องนอนใหญ่
จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกบ้านมากระทบ
ห้องที่อยู่ติดกับสิ่งที่กล่าวมานี้ ไม่ควรทำเป็นห้องนอน โดยเฉพาะห้องนอนเจ้าของบ้าน
สภาพแวดล้อมที่ถือว่าดี เช่น ทะเลสาบ สวนหย่อม สระว่ายน้ำ หรือที่โล่งที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี
ห้องที่ติดกับสภาพแวดล้อมอย่างนี้ ย่อมได้ประโยชน์และเหมาะกับการทำเป็นห้องนอนของประธาน
(เจ้าบ้าน) อย่างยิ่ง “ห้องนอนเจ้าบ้าน จะต้องอยู่หลังบ้าน ห้ามนอนหน้าบ้าน”
อีกหลักหนึ่งที่มีการกล่าวว่า เจ้าของบ้านจะต้องนอนหลังบ้านเสมอ ห้ามนอนหน้าบ้าน
เพราะถือตำแหน่งหลังใหญ่กว่าตำแหน่งหน้า (หลังประธาน หน้าบริวาร) หลักเกณฑ์นี้คงไม่ใช่หลักตายตัวหรอกครับ
แต่เป็นหลักที่เหมาะกับการนำไปใช้กับที่ทำงานครับ แต่บ้านเป็นที่สำหรับพักผ่อน
ถ้าสภาพแวดล้อมด้านหลังบ้านไม่ดี ก็ไม่เหมาะที่จะทำเป็นห้องนอนเจ้าของบ้านอยู่ดี
หลายคนหลงประเด็นไปยึดเป็นหลักตายตัว เกิดผลเสียมานักต่อนักแล้ว
โดยปกติแบบบ้านส่วนใหญ่มักจะวางห้องนอนใหญ่เอาไว้หน้าบ้านมากกว่าหลังบ้าน เพราะสภาพแวดล้อมด้านหน้าบ้าน
มักจะเป็นที่โล่ง เป็นสนาม เป็นสวนหย่อม ส่วนหลังบ้านมักจะติดกับหลังบ้านคนอื่น
ซึ่งจะก่อสภาพอุดตันได้ง่าย ห้องนอนที่เอาไว้ด้านหลังบ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นห้องนอนคนแก่
หรือห้องนอนคนใช้ในบ้านมากกว่า แต่ก็อย่างที่ผมบอกล่ะครับ ต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมประกอบไปด้วย
ถ้าด้านหลังบ้านมีสภาพแวดล้อมดี ก็เหมาะที่จะทำเป็นห้องนอนเจ้าของบ้านครับ
นอกจากนี้ การวางตำแหน่งห้องนอนเจ้าของบ้าน อย่าเลือกตำแหน่งตรงกลางของด้านใดด้านหนึ่ง
ควรเลือกวางในตำแหน่งที่ห้องนอนมีพื้นที่ทั้งสองด้านของบ้าน หรือวางตำแหน่งมุมบ้าน
นั่นเอง เหตุผลก็เพราะ ตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางจะถูกบีบ มีช่องแสงช่องลมเพียงด้านเดียว
ก่อสภาพที่ไม่สมดุลภายในห้องนอนตำแหน่งห้องนอน A อยู่ในสภาพถูกบีบไม่สมดุลแสงและลมเข้าได้ด้านเดียว
ส่วนห้องนอน B มีแสงและลมเข้าได้ 2 ด้านของห้อง ก่อสภาพที่สมดุลมากกว่า
2. ทิศทาง การดูทิศถือว่าสำคัญมาก ไม่ควรละเลยหรือมองข้ามโดยเด็ดขาด ก็อย่างที่กล่าวเอาไว้
ในบทก่อนๆว่า ทิศที่ถือว่าดี ก็คือทิศตะวันออกกับทิศใต้ เพราะจะได้ประโยชน์ในเรื่องของแดดและลมโดยตรง
ห้องนอนใหญ่ก็ควรจะเลือกวางในตำแหน่ง 2 ทิศนี้ ซึ่งห้องนอนส่วนใหญ่จะเป็นห้องมุมของบ้าน
ก็จะวางรับทิศได้ 2 ทิศอยู่แล้ว
เพื่อให้มองเห็นภาพได้ง่ายขึ้น ผมจะสรุปตำแหน่งห้องนอนใหญ่ตามทิศไล่เรียงจากดีที่สุด
ไปจนถึงตำแหน่งแย่สุด
ตำแหน่งทิศดีที่สุดคือ ทิศตะวันออกกับทิศใต้ จะได้ประโยชน์ในเรื่องของลมและแสงแดด
เพราะลมจะมาทางทิศใต้ ส่วนแดดจากตะวันออก เป็นแดดที่ไม่ร้อนจัด ช่วงบ่ายห้องจะเย็น
ตำแหน่งทิศรองที่ 2 คือ ทิศใต้กับตะวันตก จะได้ประโยชน์ในเรื่องลมอย่างเดียวจะเสียเรื่องแสงแดดที่ค่อนข้างร้อนในตอนบ่าย
ตำแหน่งทิศรองที่ 3 คือ ทิศตะวันออกกับทิศเหนือ จะได้ประโยชน์ในเรื่องแสงแดด แต่จะอับลม
ส่วนตำแหน่งที่ถือว่าแย่ที่สุด ก็คือ ทิศตะวันตกกับทิศเหนือ ซึ่งจะเสียทั้งเรื่องของแดดที่ร้อนจัดและอับลมเกือบตลอดทั้งปี
(ยกเว้นหน้าหนาวประมาณ 3 เดือน)ห้องนอนที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีและไม่ดี ไล่ตามลำดับ
1,2,.. โดยพิจารณาเรื่องของทิศเป็นหลัก แต่ก็ใช่ว่า จะต้องยึดเป็นหลักตายตัวนะครับ
เพราะตัวแปรที่สำคัญ ก็คือ สภาพแวดล้อมอีกนั่นแหละ ยังไงก็อย่าลืมเรื่องนี้เชียวล่ะครับ…
คำถามเกี่ยวกับ ฮวงจุ้ย บ้าน ที่ผมมักจะถูกถามอยู่ตลอดเวลา ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ
"โชคลาภ" ทำอย่างไรบ้านถึงจะมีโชคมีลาภ เงินทองไหลเข้าไม่ขาดมือ แหม..เรื่องโชค
เรื่องเฮง เรื่องความร่ำรวย ใครบ้างล่ะไม่อยากมีอยากได้ทุกคนล้วนต้องการด้วยกันทั้งนั้น
บางคนรวยอยู่แล้ว ก็ยังอยากที่รวยมากขึ้นเลยผมเลยหยิบเอาเรื่องของการหาจุดโชคลาภ
จุดการเงิน มาพูดถึง เพราะในตำรา ฮวงจุ้ย มีระบุเอาไว้ชัดเจน ใครหาจุดโชคลาภเจอแล้วรู้วิธีกระตุ้นจุดโชคลาภก็จะส่ง
ผลดีในเรื่องภาวะเงินทองของเจ้าของบ้านได้หลายคนเริ่มหูผึ่งแล้วใช่ไหมครับ ยิ่งภาวะการเงินฝืดเคืองแบบนี้
ก็ต้องค้นหาทุก วิถีทางเพื่อให้สภาพการเงิน
คล่องตัว ผมว่ามาลองดูวิธีในทาง ฮวงจุ้ย กันบ้างเผื่อจะ ช่วยให้สถานะการเงินดีขึ้นการจะรู้ว่าจุดโชคลาภของบ้านอยู่ตรงไหนนั้น
วิธีการหามีด้วยกันหลายวิธีครับ มาเริ่มกันที่วิธีแรกกันก่อนซึ่งเป็นวิธีแบบดั่งเดิม
โดยพิจารณาจากตำแหน่งของชัยภูมิ เพราะตำแหน่งชัยภูมิในทางฮวงจุ้ยจะมีความหมายอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว
ตำรา ฮวงจุ้ย บอกเอาไว้ว่าชัยภูมิทั้ง 4 ด้าน จะประกอบไปด้วยตำแหน่งเสือ
มังกร หงส์ และเต่า ความหมายของสัตว์มงคลทั้งสี่ จะมีดังนี้
เสือ แทนความหมายของ บารมี ทิศ ตะวันตก
มังกร แทนความหมายของ อำนาจ ทิศตะวันออก
หงส์ แทนความหมายของ โชคลาภ ทิศใต้
เต่า แทนความหมายของ ความมั่นคง ทิศเหนือ
จะเห็นได้ว่า หงส์ แทนความหมายของโชคลาภซึ่งจะอยู่ทางทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศ ที่ดีที่สุดในตำรา
ฮวงจุ้ย โบราณ ชาวจีนสมัยก่อนจึงนิยมสร้างบ้านหันไปทางทิศใต้เสมอ
แล้วตำแหน่งของหงส์อยู่ตรงไหนของบ้านล่ะ..? อย่าเพิ่งใจร้อนครับ
ผมกำลังจะบอกให้เดี๋ยวนี้ ตำแหน่งหงส์ ตามหลักชัยภูมิจะ
อยู่บริเวณหน้าบ้านครับ เพราะหน้าบ้านถือเป็นจุดผ่านของพลังชี่ที่จะไหลเข้าสู่บ้าน
ชี่ หรือโชคลาภจะดีหรือไม่ดีนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะบริเวณหน้าบ้านนี่แหละ
ถ้าหน้าบ้านใครมีลักษณะที่ไม่ดี โชคลาภก็ไม่ไหลเข้าบ้าน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
"อับโชค" ครับลักษณะหน้าบ้านที่เข้าข่ายเสีย หรือไม่ดีนั้น ในทาง ฮวงจุ้ย
จะกำหนดเอาไว้ ดังนี้
1. ถนนหน้าบ้านวิ่งหนีจาก หลายคนอาจนึก ภาพไม่ออก แต่ถ้าบอกว่าบ้านที่ตั้งอยู่บริเวณ
ทางโค้ง คงจะพอมองเห็นภาพชัดขึ้น บ้านที่ ่ตั้งอยู่บริเวณนี้ จะไม่สามารถดึงโชค
ลาภเข้า บ้านได้เลย เพราะกระแสชี่ที่ไหลอยู่บริเวณนั้น จะวิ่ง หนีออกไป
2. หน้าบ้านอุดตัน เช่น มีอาคารสูงอยู่ตรงข้าม มีเสาไฟฟ้าแรงสูง มีต้นไม้ใหญ่ ขวางทางเข้าบ้าน
ทำให้พลังชี่ไหลเข้าไม่สะดวก เป็นการปิดบังโชคลาภ นั่นเอง
3. ถนนหน้าบ้านเป็นรูปคันเบ็ด หรือเป็นลักษณะ หักมุมเข้าสู่บ้าน ในตำราระบุเอาไว้ค่อนข้างจะ น่ากลัว ทีเดียวว่า โชคลาภจะวิบัติ ทรัพย์สมบัติ ไม่เหลือ คำอธิบายในทางฮวงจุ้ยจะบอกว่า ลักษณะถนนแบบนี้ จะส่งผลให้พลังชี่ไหล เวียนไม่สะดวก เพราะมี ีลักษณะที่หักมุมมาก เกินไป และที่สำคัญ ถนนจะพุ่งเข้าสู่บ้าน เหมือนตะขอเกี่ยวเบ็ด บ้านเลยไม่ต่างไปจาก ปลาที่ติดเบ็ด รอวันตายลูกเดียว
4. หน้าบ้านมีสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็น สิ่งปฏิกูลในที่นี้อาจจะหมายถึง
กองขยะ น้ำ
เน่าเสีย โรงงาน โรงชำแหละสัตว์ ฟาร์มสัตว์ต่างๆ ที่ไม่ดูแลความสะอาดให้ดีพอ ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ
อย่างนี้โชคลาภวิ่งหนีหมดครับ
5. หน้าบ้านเป็นวัด ศาลเจ้า สุสาน ในตำราบอกว่า พลังอินชี่
(พลังนิ่งตาย) ที่
แผ่ออกมาจากสถานที่ดังกล่าว จะเป็นตัวสกัดชี่ที่ดีไม่ให้ไหลเข้าบ้าน ผลก็คือ บ้านนั้น
ไม่มีโชคลาภ ประเภทลูกฟลุ้ก ลูกเฮง ไม่มีครับ
6. หน้าบ้านมีลักษณะทึบตัน บ้านที่ก่อกำแพงทึบ แถมประตูรั้วบ้านยังมี
ลักษณะ ทึบอีกต่างหาก เวลาอยู่นอกบ้าน มองเข้าไปไม่เห็นตัวบ้านเห็นแต่กำแพง ทึบทั้งสี่ด้าน
เหมือนกำแพงคุก ลักษณะแบบนี้จะให้โชคลาภไหลเข้าบ้านได้อย่างไรล่ะครับ หน้าบ้านที่ดีควรมีลักษณะโล่ง
เพื่อเปิดรับพลังเข้าบ้านได้อย่างเต็มที่ลองวิ่งออกไปดูบริเวณหน้าบ้านของคุณดูสิ
ว่าเข้าข่ายตามที่กล่าวมานี้
หรือไม่ ถ้าเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่ง ก็ถือว่า บ้านคุณขาดโชคลาภแล้วล่ะครับ แต่บ้านใคร
ไม่ได้เข้าข่ายตามนี้ ก็อย่าเพิ่งหลงระเริง หรือดีใจจนเกินเหตุว่า บ้านตัวเองมีโชคลาภที่ดี
เพราะที่ผมกล่าวมานี้ เป็นเพียงการพิจารณา แค่ลักษณะชัยภูมิภายนอกบ้านเท่านั้น
ยังไม่ ่ได ้พูดถึงเรื่องตำแหน่งภายในบ้าน แล้วก็ทิศทางกันเลย
จิตวิทยาสี
สีดำ (Black) เป็นสีแห่งความตาย ความมืด ความน่ากลัว ความผิด พลังแห่งปีศาจ สิ่งเร้นลับอำนาจ....ความเ้ข้ม
เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่คุณสามารถเห็นงานออกแบบที่ใช้สีดำในโปสเตอร์หนัง
มักจะออกแบบให้ดูลึกลับ น่ากลัว หรือชวนให้เข้าไปค้นหาความจริง
สีทอง หรือ สีเหลือง (Gold) เป็นสีที่แสดงถึงความมั่งคั่ง
มั่งมี อบอุ่น เป็นมิตร สร้างสรรค์ หรือ นักคิดค้น ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ อิสระ ความเมตตา
การมองโลกในแง่ดี เป็นต้น แต่ในบางครั้งอาจใช้ใน
ความหมายทางด้านลบ เช่น ความหึงหวง ขี้อิจฉา ความพิรุธ ความขี้สงสัย หรือ การหลอกลวง
ก็ได้ในวงการวารสาร สีเหลืองยังหมายถึง ความไม่รับผิดชอบ อีกด้วย
สีแดง (Red) เป็นสีที่แสดงถึง ความร้อนแรง อันตราย เรื่องเร่งด่วน
ฉุกเฉิน ความตื่นเต้น ความรัก โรแมนติก ความเจ็บปวด ความเผ็ดร้อน ความทรงจำ ความกล้าหาญ
ความเป็นเจ้าของ
ความทะเยอทะยาน พลังแห่ง Sex... ในหลายประเทศจะใช้สีแดงในความหมายต่างกัน เช่น
กรีก สีแดงจะหมายถึง การต่อสู้รบราฆ่าฟัน แต่ประเทศแอฟริกาใต้ จะหมายถึง ความเศร้าโศก..
สีเทา (Gray) เป็นสีที่แสดงถึง ความมั่นคง ปลอดภัย สม่ำเสมอ
ผู้ที่มีอำนาจ บุคลิกที่แข็งแกร่ง ความคลาสสิค ความตกต่ำ ความรู้สึกหดหู่ มัวหมอง
สีขาว (White) เป็นสีที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ สะอาด ผ่องใส ความหวัง ความถูกต้อง
ความจริง การไว้ทุกข์ ความช่วยเหลือ ความเรียบง่าย ความเรียบร้อย
สีน้ำเงิน (Blue) เป็นสีที่แสดงถึง ความมั่นคง ความสม่ำเสมอ
เสถียรภาพ ความแน่นอน ความ แข็งแรง ความเป็นผู้นำ น้ำ ความเย็น ความสะอาดสะอ้าน
ความสบาย ความไว้วางใจ คลาสสิค...
ความรู้สึกอ่อนไหว ห้วงอารมณ์ ในประเทศจีน สีน้ำเงิน หมายถึง เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
ในขณะที่ใน อิหร่าน จะหมายถึง การไว้ทุกข์
สีม่วง (Purple) เป็นสีที่แสดงถึง ความเป็นเจ้านาย กษัตรย์
การฑูต แฟชั่น เกย์ ในสหรัฐจะใช้ สีม่วงสำหรับทหารที่ถูกฆ่า ในขณะที่ลีโอนาโด นาวินซี
จิตกรชื่อดัง กล่าวว่าสีม่วงอ่อนจะทำให้เขามี
พลังทางความคิดมากขึ้น และหากนำสีม่วงเป็นสีห้องสำหรับเด็ก จะทำให้เด็กเกิดจินตนการ
สีน้ำตาล (Rust) เป็นสีที่แสดงถึง ความสมบุกสมบัน ดิน
สนิม ความแห้งแล้ง ความเป็นมิตร ความซื่อสัตย์ การไว้ใจ น่ารำคาญ ทรมาน เห็นแก่ตัว
แข็งแกร่ง...
สีเขียว (Green) เป็นสีที่แสดงถึงความสดชื่น ต้นไม้ การเจริญเติบโต เงิน ความหนุ่มสาว
สิ่งแวดล้อม การผ่อนคลาย ความเป็นธรรมชาติ และสีเขียวยังเป็นสีประจำชาติของประเทศไอร์แลนด์
อีกด้วย
สีชมพู (Pink) เป็นสีที่แสดงถึง ความเป็นผู้หญิง อ่อนไหว ความรัก ความนุ่มนวล น่ารัก วัยหวาน สุภาพอ่อนโยน ทะนุถนอม ขี้อาย
สีส้ม (orange) เป็นสีที่แสดงถึง แรงบันดาลใจเต็มเปี่ยม
พลัง ความสำคัญ ความอบอุ่น ความ กรุณา หยิ่งยโส จองหอง มีทิฐิ...
ปัจจุบันเรื่องฮวงจุ้ยอันเป็นศาสตร์จีนโบราณได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเรามากขึ้นด้วยความเชื่อว่าเมื่อเราได้สร้างบ้านหรืออาคารสำนักงานได้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยแล้วจะก่อให้เกิดโชคลาภและนำพา
ให้ครอบครัวลูกหลาน มีความเจริญรุ่งเรืองและสุขสงบร่มเย็นตลอดไป ความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ย
ดูเหมือนจะไม่มีเฉพาะในหมู่ชาวจีนเท่านั้น ศาสตร์นี้ได้แผ่กระจายสู่ดินแดนตะวันตก
และได้นำมาปรับใช้ในด้านกราฟฟิก รวมทั้งงานสถาปัตยกรรม เพื่อผสมผสานความงามทางศิลปะกับความกลมกลืนของศาสตร์
ภูมิพยากรณ์ซึ่งนักออกแบบและเจ้าของกิจการนึกไม่ถึงมาก่อนฮวงจุ้ยได้สอดแทรกปรัชญาเกี่ยวกับคุณธรรม
ได้มีการปรับใช้กับการออกแบบเพื่อให้เกิดความหมายที่เป็นมงคลบอกถึงภาพลักษณ์บรรษัททีดี
เสมือนกับการมีบ้านที่น่าอยู่ผู้อาศัยในบ้านก็มีความสุข
ในด้านของงานกราฟฟิก ศาสตร์ฮวงจุ้ยเข้ามามีบทบาทในกลุ่มผู้ที่มีความเชื่อซึ่งส่วนมากเป็นชาวจีน
ฮวงจุ้ยได้กล่าวถึงการออกแบบสัญลักษณ์ และป้ายกิจการโดยใช้หลัก เบญจธาตุ โดยเริ่มจาก
ธาตุทอง ธาตุน้ำ ธาตุไม้ ธาตุไฟ ธาตุดิน ซึ่งธาตุเหล่านี้ผสมผสนกันจะเกิดความหมายที่เป็นมงคลตามความเชื่อของชาวจีนโดยลักษณะธาตุต่างๆจะเหมาะสมกับบุคคลนั้นๆ
ต่างกันไป โดยหลักการพื้นฐานสามารถขยายผลไปสู่การออกแบบสื่อที่มีในปัจจุบัน ที่จะใช้หลักของ
ฮวงจุ้ยเข้าไปประกอบการออกแบบ สื่อเวปไซด์เป็นสื่ออิเล็คทรอนิคที่มีบทบาทสำคัญในยุคปัจจุบันเวปไซด์ของกิจการที่ทำธุรกรรมผ่านทางอินเตอร์เนท
เปรียบเสมือนหน้าร้านของกิจการเลยทีเดียว การออกแบบสารสนเทศเพื่อให้ความรู้ศาสตร์ฮวงจุ้ยสำหรับการออกแบบเวปไซด์จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจการออกแบบด้านงานกราฟฟิกประกอบหลักฮวงจุ้ย
และช่วยสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่สนใจเรื่องศาสตร์ฮวงจุ้ยดียิ่งขึ้น รวมทั้งเจ้าของกิจการที่มีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยจะนำไปปรับใช้กับการออกแบบเวปไซด์ของตนสร้างความมั่นใจให้กับกิจการของตนมากขึ้น
ปัจจุบัน เรื่องฮวงจุ้ยอันเป็นศาสตร์จีนโบราณได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเรามากขึ้นด้วยความเชื่อที่ว่าเมื่อเราได้สร้างบ้านหรืออาคารสำนักงานได้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว
จะก่อให้เกิดโชคลาภและนำพาให้ครอบครัวลูกหลาน มีความเจริญรุ่งเรืองและสุขสงบร่มเย็นตลอดไปไม่เพียงแต่การก่อสร้างอาคาร
สถานที่เท่านั้นที่ต้องอาศัยหลักฮวงจุ้ยการออกแบบ
เครื่องหมายการค้า โลโก้,และป้ายเครื่องหมาย ได้มาเกี่ยวพันกับเรื่องฮวงจุ้ย โดยที่เราละเลยข้ามไปอย่างไม่รู้ตัว
ความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยดูเหมือนจะไม่มีเฉพาะในหมู่ชาวจีนเท่านั้น ศาสตร์นี้ได้แผ่กระจายสู่ดินแดนตะวันตก
และได้นำมาปรับใช้ใน ด้านกราฟฟิกการออกแบบ
เครื่องหมายการค้า รวมทั้งงานสถาปัตยกรรม เพื่อผสมผสานความงามทางศิลปะกับความกลมกลืนของศาสตร์
ภูมิพยากรณ์ซึ่งนักออกแบบและเจ้าของกิจการนึกไม่ถึงมาก่อน
เครื่องหมายการค้า หมายถึง สัญลักษณ์ที่ใช้เป็นที่หมายเกี่ยวข้องกับสินค้า
"เพื่อแสดงว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น แตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น"
หน้าที่หลักของ เครื่องหมายการค้า คือ การแสดงแหล่งกำเนิด และเครื่องหมายการค้าอาจทำหน้าที่รับประกันคุณภาพของสินค้า
และการโฆษณาสินค้า ( ข้อมูลจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา
)
" เครื่องหมายการค้าสื่อถึงภาพลักษณ์ของบริษัท"เครื่องหมายการค้าที่ดีต้องอาศัยหลักมูลฐานในการออกแบบฮวงจุ้ยเป็นศาสตร์จีนโบราณที่สอดแทรกปรัชญาและคุณธรรม
ได้มีการปรับใช้กับการออกแบบเครื่องหมายการค้าเพื่อให้เกิดความหมายที่เป็นมงคลบอกถึงภาพลักษณ์บรรษัททีดี
เสมือนกับการมีบ้านที่น่าอยู่ผู้อาศัยในบ้านก็มีความสุข
ฮวงจุ้ย" ความเชื่อถือและปฏิบัติที่สืบต่ออย่างน่าพิศวง
รองศาสตราจารย์ไพรถ เลิศพิริยกมล
วรรณคดีเรื่องสามก๊กฉบับพระยาพระคลัง
(หน) เรารู้สึกตื่นเต้นกับการทำสงครามระหว่างเล่าปี่ ซุนกวนและโจโฉ ครั้นเราติดใจในรสวรรณคดีเรื่องนี้ก็เผลออ่านจนตลอดเล่ม
คนที่เรายกย่องในใจคือ ขงเบ้ง หรืออาจารย์ฮกหลงผู้หยั่งรู้ ดินฟ้าแห่งเขาโงลังกั๋งกว่าจะได้ตัวขงเบ้งมา
เล่าปี่เจ้าเมืองซินเอี๋ยต้องอดทนความอาย ทนต่อความโกรธและสบประมาทของน้อง
ร่วมสาบาน คือ กวนอูและเตียวหุย ต้องไปเชิญถึงบ้านถึง 3 ครั้ง จึงได้ตัวขงเบ้งมา
ในการไปเชิญขงเบ้งครั้งแรกวรรณคดีสามก๊กพรรณนาไว้ ดังนี้
"ครั้นเวลาเช้าเล่าปี่จึงพากวนอูเตียวหุยออกจากเมืองซินเอี๋ย
จะไปหาขงเบ้ง ณ เขาโงลังกั๋ง ไปพบคนห้าคนทำไร่อยู่ที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง เล่าปี่จึงถามว่า
มีอาจารย์คนหนึ่งชื่อว่าฮกหลงอยู่ตำบลใด
ท่านรู้บ้างหรือ ชาวไร่นั้นจึงบอกว่า อาจารย์ฮกหลงอยู่เงื้อมเขาข้าง ทิศใต้มีพุ่มไม้เป็นสำคัญอยู่หน้าเรือน
เล่าปี่ได้ฟัง เช่นนั้นก็มีความยินดี พากวนอูเตียวหุย รีบอ้อมเขาไปทางประมาณสามสิบเส้น
ถึงพุ่มไม้ตรงหน้าเรือนขงเบ้ง ฝ่ายขงเบ้งรู้ว่าเล่าปี่จะมาหาก็คิดในใจว่าเขาเล่าลืออยู่ว่าเล่าปี่มีสติปัญญาประกอบด้วยอัธยาศัยและความเพียรเป็นอันมากนั้นจะจริงหรือประการใด
ครั้นจะอยู่ให้พบตัวบัดนี้ก็จะไม่แจ้งว่าเล่าปี่ มีความเพียรและหาเพียรไม่ ซึ่งเราจะไปอยู่ด้วยนั้นใหญ่หลวงนัก
ยังเป็นประโยชน์หรือ มิเป็นประโยชน์จะลองดูให้รู้น้ำใจเล่าปี่ก่อน แล้วสั่งเด็กไว้ว่า
ถ้าผู้ใดมาหาเราจงบอกว่า เราไม่อยู่ สั่งแล้วขงเบ้งก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ข้างใน ฝ่ายเล่าปี่กวนอูเตียวหุย
ก็ลงจากม้าเดินเข้าไปถึงประตูบ้าน เล่าปี่จึงพิเคราะห์ดู ภูมิฐานบ้านเรือนเห็นสะอาดสะอ้าน
ชอบมาพากล แม้เทศกาลร้อนก็มิได้ร้อน เพราะลมพัดมาได้ เมื่อถึงฤดูฝนก็เป็นที่ร่มปิดหยาดฝนมิได้ถูกต้อง
หน้าฤดูหนาวเล่าก็มิได้เย็นด้วยละอองน้ำค้าง
" สมควรเป็นที่อยู่ผู้มีสติปัญญาจริง" (กรมศิลปากร 2506 : 675-676)
ที่นำเรื่องสามก๊กมากล่าวไว้นี้เพื่อให้ผู้อ่านสังเกตว่า
บ้านขงเบ้งนอกจากจะอยู่เงื้อมเขาแสดงว่าบ้านตั้งอยู่ใกล้ภูเขาและน่าจะเป็นพื้นที่ราบเชิงเขา
หรือหุบเขา ชัยภูมิที่ตั้งบ้านอาศัยเงื้อมเขา
เป็นปราการธรรมชาติป้องกันลมหนาว ยิ่งเมื่อพิเคราะห์ถึงการพิจารณาของเล่าปี่ที่บอกถึงสถานที่ตั้งของบ้านขงเบ้ง
รวมทั้งวิธีการสร้างบ้าน ตลอดจนทิศทางลม รวมทั้งฤดูกาล แล้วเล่าปี่สรุปว่า
"สมควรเป็นที่อยู่ของผู้มีสติปัญญาจริง"
การวิเคราะห์ลักษณะบ้าน
สถานที่ตั้งบ้าน ตลอดจนฤดูกาลและทิศทางลมของเล่าปี่ นอกจากจะแสดงถึงความรู้ความสามารถของเล่าปี่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ
ผู้กอบกู้บ้านเมืองแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่า เล่าปี่กำลังกล่าวถึงศาสตร์หรือความรู้ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่คนจีนร่ำเรียนและ
ยึดถือปฏิบัติสืบต่อตกทอดกันมาเป็น 1,000 ปี จนถึงปัจจุบัน นั้นก็คือ วิชา "ฮวงจุ้ย"
นั่นเอง
ฮวงจุ้ย เป็นศาสตร์แห่งการพยากรณ์ของชาวจีนในการเลือกสรรทำเลที่ตั้งของ
สถานที่ทั้งสำหรับคนเป็นและคนตาย โดยยึดหลักแห่งความสมดุลของสภาพแวดล้อมให้มี ความกลมกลืนกัน
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองแก่คนในครอบครัวและลูกหลาน (ณัฐธิดา สุขมนัส
2539=108)
ฮวงจุ้ย
ถ้าจะกล่าวถึงความหมาย ต้องแยกอธิบายออกเป็นคำก่อน ดังนี้
ฮวง
เป็นภาษาแต้จิ๋ว จีนกลางออกเสียง เฟิง เขียนเป็นภาษาจีนคือ
แปลว่า ลม
จุ้ย
เป็นภาษาแต้จิ๋ว จีนกลางออกเสียง สุ่ย เขียนเป็นภาษาจีนคือ
แปลว่า น้ำ
เมื่อนำคำ 2 คำ มารวมกันจึงออกเสียงเป็น ฮวงจุ้ย ในภาษาแต้จิ๋ว และเฟิงสุ่ย
ในภาษาจีนกลางซึ่งเมื่อแปลตามตัวหนังสือจีนก็คือ ลม-น้ำ แต่ท่านผู้รู้วิชาฮวงจุ้ยอธิบายว่า
ฮวงจุ้ยเสมือนลมที่พัดผวนเกินความเข้าใจ และเสมือนน้ำที่ไม่อาจหยิบฉวยไว้ได้ ทั้งกระแสลมและกระแสน้ำที่ไหลวนตามธรรมชาติล้วนมีอิทธิพลในการแปรเปลี่ยนภูมิประเทศ
ซึ่งสภาพ
แวดล้อมต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งความสุขความเจริญและความอุดมสมบูรณ์
ดังนั้น ฮวงจุ้ย จึงเป็นศาสตร์ของชาวจีนอันเป็นความรู้สืบทอดและ ปฏิบัติสืบต่อเนื่องกันมา
ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สาขาต่างๆ ดังนี้
1. เป็นโหราศาสตร์เกี่ยวกับภูมิลักษณ์
หรือ ภูมิพยากรณ์
2. เป็นปรัชญาของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
3. เป็นองค์รวมของความรู้ด้าน
วิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และปรัชญา
4. เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในการเลือกถิ่นที่อยู่อาศัย
เพื่อให้เกิดความสมดุลและทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้น
5. เป็นศาสตร์ในการเลือกสถานที่
ทำเล สิ่งก่อสร้าง หรือ โครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
จากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ฮวงจุ้ย จึงเป็นความเชื่ออันยิ่งใหญ่ของชาวจีน ซึ่งเป็นทั้งความรู้อันยิ่งใหญ่
เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่มีการจดบันทึกและร่ำเรียน ยึดถือปฏิบัติสืบต่อ กันมาอย่างไม่ขาดหาย
ไม่ว่าคนจีนจะอยู่ที่ไหน ความเชื่อเรื่อง ฮวงจุ้ย ก็ซึมอยู่ในวิถีชีวิตและมีการปฏิบัติสืบต่อกัน
รวมทั้งคนจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และผสมกลมกลืนกับ คนไทยจนเป็นพลเมืองไทยเชื้อสายจีน
ฮวงจุ้ยก็ยังเป็นความเชื่อและเป็นวิถีชีวิตที่ปฏิบัติสืบ ต่อกันอย่างไม่ขาดสายจนถึงปัจจุบันอย่างน่าพิศวง
ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า
ฮวงจุ้ย นี้เป็นศาสตร์แห่งการพยากรณ์ ในการเลือกสรรทำเลที่ตั้งของสถานที่ ทั้งสำหรับคนเป็นและคนตาย
คนจีนนั้น คนเป็นและคนตาย มิได้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง ยังมีความผูกพันและปฏิบัติต่อกัน
คนเป็นยังเคารพกราบไหว้ และนับถือ คนตาย ยังปฏิบัติคนตายอย่างสม่ำเสมอ เพราะคนตายเป็นบรรพบุรุษ
เป็นตระกูล เป็นเชื้อสาย ที่คนเป็นต้องแสดงความกตัญญู
เคารพ กราบไหว้ เซ่นสรวง มีการไหว้เจ้า มีการเซ่นไหว้ บรรพบุรุษ เช่น ตรุษจีน หรือ
เทศกาลเช็งเม้ง เป็นต้น
ส่วนคำที่ใช้เกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง
ฮวงจุ้ย ในหมู่คนไทยเชื้อสายจีน และคนไทย ทั่วไปก็คือ ถ้าเกี่ยวกับคนตายมักใช้คำว่า
"ฮวงซุ้ย" ซึ่งหมายถึงที่ฝังศพ และมักจะฝังอยู่บริเวณใกล้ๆกัน อย่างที่เข้าใจ และเรียกกันว่า
ป่าช้าจีน เช่นที่จังหวัดชลบุรี สระบุรี หรือที่วัดดอน ส่วนคำว่า ฮวงจุ้ย ใช้กับคนเป็น
ซึ่งเป็นความรู้ หรือศาสตร์แห่งการพยากรณ์เกี่ยวกับสถานที่ ทำเล ที่อาศัย (ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะ
ฮวงจุ้ย สำหรับคนเป็น ส่วนฮวงซุ้ยสำหรับ คนตายจะกล่าวเฉพาะจำเป็นเพราะมีรายละเอียดมาก)
ความเป็นมาของฮวงจุ้ย
ชาวจีนมีปรัชญาหรือการมองโลกและชีวิต คือ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมตัวกันเป็นหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นตรงต่อสิ่งอื่นทั้งหมด
ดังนั้นจักรวาลและธรรมชาติมีส่วนในการกำหนด ชะตาชีวิตของมนุษย์ จักรวาลบันดาลธรรมชาติ
ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงลึกลับและซ้อนเร้น พลังเปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า "ชี่" การศึกษาฮวงจุ้ยจึงเป็นการศึกษาธรรมชาติ
เป็นการค้นหา พลังชี่มาก่อให้เกิดประโยชน์ใกล้ชิดกับมนุษย์
ความเชื่อเรื่องจักรวาลเป็นศูนย์กลางสรรพสิ่งนี้พัฒนามาเป็นศาสตร์ทางด้านฮวงจุ้ยที่สำคัญ
ต่อมาแม้การสร้างเมืองหลวงของจีนก็ถือว่าเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล ที่ประทับและมหาราชวังจึงต้องตั้ง
ณ ที่ตำแหน่งศูนย์กลาง จักพรรดิ์เป็นโอรสสวรรค์ เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ แม้ชื่อ
จงกั๋ว (ภาษาจีน) อันเป็นชื่อเดิมของจีน ก็หมายถึงศูนย์กลางแห่งอำนาจ
ความเชื่อเรื่องจักรวาล
เรื่องอำนาจการเปลี่ยนแปลง เรื่องธรรมชาติบันดาลให้เกิดความสุข ความเจริญรุ่งเรืองนี้
เป็นศาสตร์ของฮวงจุ้ยที่มีความลึกซึ้งและสะสมสืบทอดกันมา ในเรื่องสถานที่อยู่ สถานที่ตั้งจึงต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามฮวงจุ้ย
โดยเฉพาะพระราชวัง ของจักรพรรดิ์
ตัวอย่างของการเลือกที่ตั้งเมืองของจีนที่เลือกสถานที่ตั้งตามฮวงจุ้ยที่เด่นชัดที่สุด
คือ เมืองลั่วหยาง ที่สร้างในสมัยเว่ย (ค.ศ.220-265) เมืองนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่ตั้งดี
คือ มีภูเขา อี้มั่งอยู่ทางทิศเหนือ มีแม่น้ำลั่วสุ่ยอยู่ทางทิศใต้ ส่วนพระราชวังตั้งอยู่ทางด้านเหนือตรงบริเวณแนวแกนกลางของเมือง
มีกำแพงล้อมรอบตัวเมือง เขตพระราชฐานมีกำแพงชั้นใน และมีคูน้ำล้อมรอบ
ทางเข้าพระราชวังออกแบบพิเศษตามลักษณะฮวงจุ้ยที่ดี โดยสร้างให้มีธารน้ำไหลผ่าน
มีประตูซ้อนกันสามประตูเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและความสำเร็จของ พระราชตระกูล
ตรงแนวกึ่งกลางหลังประตูทางเข้าที่สองด้านซ้ายมือมีศาลบูชาบรรพบุรุษ (ณัฐธิดา สุขมนัส
2539:111)
ถ้าใครเคยไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ไปชมจตุรัสเทียนอันเหมิน พระราชวัง ต้องห้ามและได้ชมพระราชวังฤดูร้อน
ของพระนางชูสีไทเฮา ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่
สวยงามจนยากที่จะอธิบายได้ ที่สำคัญเป็นฝีมือของมนุษย์ เป็นภูมิปัญญาที่ฉลาด เหนือสิ่ง
อื่นใด คือ เป็นไปตามฮวงจุ้ยอย่างละเอียด ลึกซึ้งทุกขั้นตอน ที่ประทับส่วนพระองค์
(บ้าน) นอกจากจะไม่ใหญ่โตแล้วยังมีความประณีตงดงาม สงบ ร่มเย็น ชัยภูมิที่ตั้งถูกต้องตามฮวงจุ้ย
ดังผังจำลองง่ายๆ ดังนี้
ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องความเชื่อ
เรื่องจักรวาล ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงที่ลึกลับและพลังชี่ ที่ให้คุณและโทษ คนจีนได้ศึกษาธรรมชาติสัมพันธ์กับชัยภูมิในการตั้งถิ่นฐาน
ที่อยู่อาศัย ซึ่งเกี่ยวพันกับทิศ ภูเขา ต้นไม้ น้ำ ฤดูกาล อากาศ ในแง่นี้จะเห็นว่า
ฮวงจุ้ย เป็นความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่สัมพันธ์กับมนุษย์
รวมไปถึงพลังแห่งจักรวาล (ชี่) ที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์
ที่ประทับ (บ้าน)
ที่วังฤดูร้อนของพระนางชูสีไทเฮาถูกต้องตามฮวงจุ้ยอย่างไร จะกล่าวพอเป็นสังเขปดังนี้
คือ
ทำเลที่ตั้งเหมาะเป็นที่อยู่อาศัย
มีความมั่นคงมีโชคลาภ เจริญรุ่งเรือง จะต้องมีสภาพแวดล้อมแห่ง เสือขาว มังกรเขียว
เต่าดำ และ หงส์แดง ถือเป็นทำเลอุดมคติของฮวงจุ้ย ซึ่งอธิบายใจความออกมาเป็นสภาพภูมิประเทศ
ดังนี้
ทิศเหนือ คือ เต่าดำ
หมายถึง ภูเขาซึ่งจะเป็นกำแพงธรรมชาติป้องกันลมหนาว อันทารุณจากไซบีเรีย
ทิศตะวันออก คือ
มังกรเขียว หมายถึงทิวเขา เนิน ป่าที่มีต้นไม้ใหญ่
ทิศตะวันตก คือ เสือขาว
หมายถึง เนิน หรือป่าที่มีต้นไม้ใหญ่
ทั้งมังกรเขียวและเสือขาวถือเป็นกำแพงธรรมชาติที่มีหางทอดไปจรดเต่าดำ (ภูเขาทางทิศเหนือ)
บ้านหรือเมืองจะอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ มีความมั่นคง อบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน
(ทิวเขาด้านตะวันตกคือ หยิน ด้านตะวันออกคือ หยาง (ซึ่งจะกล่าว ต่อไป)
ทิศใต้ คือ หงส์แดง
หมายถึง น้ำ สายน้ำ และมีพื้นที่โล่งเหมาะแก่การเพาะปลูก ทิศใต้นี้แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์
(น้ำ) ความอบอุ่น ความสุข ความรุ่งเรือง
เมื่อทำความเข้าใจเรื่อง
เสือขาว มังกรเขียว เต่าดำ และหงส์แดงแล้วลองกลับไปพิจารณาที่ประทับของพระนางชูซีไทเฮา
ที่อยู่ในวังฤดูร้อน จะเห็นว่าเป็นไปตามฮวงจุ้ย ทุกประการด้านตะวันออกและด้านทิศตะวันตก
แม้ไม่มีภูเขาก็มีต้นไม้ใหญ่สวยงามทดแทน โดยเฉพาะอุทยานด้านทิศตะวันตกขุดเป็นลำธารคดเคี้ยว
พายเรือชมสวน ซึ่งประกอบด้วย ไม้ประดับและดอกไม้นานาพันธุ์ สวยงามเกินบรรยาย ยิ่งเมื่อหันหน้าออกสู่ทะเลสาบทางทิศใต้ขณะพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าและพระอาทิตย์ตกยามเย็น
เป็นธรรมชาติที่สวยสงบหาที่เปรียบ ได้ยาก
ที่นี้จะอธิบายคร่าวๆถึงที่ประทับ
(บ้าน) ซึ่งเป็นไปตามฮวงจุ้ยเช่นเดียวกัน บ้านคนจีนจะไม่นิยมปลูกหลายชั้น เพราะยิ่งสูงยิ่งลมหนาว
บ้านจะอยู่ในบริเวณกำแพงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าจะหันหน้าไปทางทิศใต้
ตัวอาคารประธานจะอยู่ทางทิศเหนือหันด้านหลังอาคารไปทางทิศเหนือ จะมีอาคารรองออกมาทั้งด้านซ้ายและขวาหักมุมตามแนวกำแพง
ส่วนกำแพงด้านทิศใต้ จะไม่นิยมทำเป็นอาคารจะขวางทางระบายอากาศ ตรงกลางของกำแพงด้านทิศใต้คือประตูใหญ่เป็นทางเข้าบ้าน
ดูภาพพื้นที่ตรงนี้มักทำซุ้มประตูสวยงามตรงกลางของบริเวณบ้านที่เป็นลานโล่ง หากเป็นคหบดีบริเวณก็จะกว้างจัดเป็นสวนหรือที่พักผ่อนหย่อนใจของสมาชิกในครอบครัว
ที่ประทับของพระนางชูสีไทเฮาก็มีลักษณะดังกล่าว มีการจัดสวนไว้ ณ บริเวณกลางที่ประทับ
ซึ่งแน่นอนย่อมมีความวิจิตรสวยงามอย่างยิ่ง
การสร้างบ้านของคนจีนจะเห็นได้ว่า
ได้ศึกษาธรรมชาติ ทิศ ฤดูกาลและทำเลที่ตั้งอย่างลึกซึ้ง ฤดูหนาวบ้านก็อุ่นป้องกันลมหนาวได้
ครั้นถึงฤดูร้อน ฤดูฝน ก็อยู่ได้สบายเช่นเดียวกันลักษณะบ้านเช่นนี้ชาวจีนรุ่นแรกๆที่อพยพเข้ามาในสมัยรัตนโกสินทร์และตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณถนนเยาวราช
ราชวงศ์ เจริญกรุง เมื่อสร้างฐานะมั่นคงก็นิยมสร้างบ้านตามแบบของบ้านในประเทศจีน
หรือตามฮวงจุ้ยอันเป็นความเชื่อและวิถีชีวิตที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา
ฮวงจุ้ยกับความเชื่อของชาวจีน
ฮวงจุ้ย นอกจากจะเป็นองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว
ฮวงจุ้ยยังเป็นองค์ความรู้ด้านปรัชญาและความเชื่อของคนจีนที่เกี่ยวกับจักรวาล พลังที่เร้นลับเหนือธรรมชาติที่สามารถเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งได้
คนก็อยู่ใต้อิทธิพลของพลังอำนาจดังกล่าว
ความเชื่อนี้มีพื้นฐาน ที่มาคือ
1. พื้นฐานแนวความคิดจากลัทธิเต๋า
เต๋าเป็นลัทธิที่ถือว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเสมอมาอย่างเป็นวัฎจักร เป็นกระบวนการที่เกิดจากสิ่งที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกัน
ให้กำเนิดซึ่งกันและกัน องค์รวมของทั้งหมดเกิดจากเอกภาพที่สมดุล จากความเชื่อนี้ฮวงจุ้ย
ก็ คือ ความรู้ในการแสวงหาความสมดุล จงทำให้เกิดดุลภาพให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติการศึกษาเรื่อง
หยิน-หยาง และชี่ เพื่อแนะนำมนุษย์ให้กระทำสิ่งใดๆให้กลมกลืนกับธรรมชาติ
2. พื้นฐานแนวความคิดจากกฎของหยินและหยาง
จักรพรรดิ์จีนโบราณ
ชื่อ ฝู-ซี เป็นผู้กล่าวถึง หยิน และ หยาง ไว้ในคัมภีร์อี้จิง กล่าวถึงจักรวาล
ธรรมชาติ สรรพสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หยินและหยางเป็นต้นเหตุแห่งสรรพสิ่ง
ฮวงจุ้ย ถือว่า พลังหยินและหยาง เป็นพลังตรงข้ามที่คู่กัน สลับการ เปลี่ยนแปลง
ส่งเสริมซึ่งกันและกัน หยิน มักแทนด้วยความมืด สีดำ ความตาย ความไม่ดี หญิง (ฮวงจุ้ย
หมายถึง เสือขาว)
ส่วน หยาง แทนด้วย ความสว่าง พระอาทิตย์ ชาย (ฮวงจุ้ย หมายถึง มังกรเขียว)
3. พื้นฐานแนวคิด เรื่อง ชี่ พลังแห่งชีวิต
เมื่อสรรพสิ่งรวมอยู่ในเต๋า
หยินและหยางรวมกันเป็นเต๋า ชี่เป็นพลังจักรวาล ชี่ เป็นพลังที่กระจายอยู่กับสภาพทุกสรรพสิ่ง
เปรียบดังพลังชีวิต (ลมหายใจแห่งมังกร) ชี่จึงมีความหมายเป็น 2 นัย คือ
3.1
หมายถึงจักรวาล ประกอบด้วย ลม แก๊ส พลังงาน
3.2
หมายถึง ชี่ของมนุษย์ คือ ลมหายใจ รัศมีภายในบุคคล กิริยามารยาทและพลังงาน ทำให้มนุษย์เคลื่อนไหว
ชี่ ในมนุษย์ ถ้าไหลเวียนคล่อง หมายถึง สุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตดี
ชี่ ในธรรมชาติ ทางฮวงจุ้ยจะพิจารณาทำเล ที่ตั้ง หากพลังชี่ที่ดีสะสมมากขึ้นพลังจักรวาล
ชี่ ก็จะก่อให้เกิดความสุข ความอุดมสมบูรณ์ ร่ำรวย มีเกียรติยศ ชื่อเสียง
4. พื้นฐานแนวความคิดเกี่ยวกับธาตุทั้ง 5 และดวงดาว
เรื่องธาตุทั้ง 5 ชาวจีนมีความเชื่อว่าธาตุทั้ง 5 เป็นส่วนประกอบของ สรรพสิ่ง คือ
ดิน น้ำ ไฟ ทอง และไม้ ส่วนดาวมี 9 ดวง ดาวจะสัมพันธ์กับธาตุทั้ง 5 ดาวจึงมีอิทธิพลทั้งด้านส่งเสริมและทำลายธาตุทั้ง
5 ได้ด้วย เรื่องของดาว ธาตุทั้ง 5 นี้สัมพันธ์กับชะตาชีวิตของคน สัมพันธ์กับทิศ
ฤดู ซึ่งกลายเป็นวิชาโหราศาสตร์ ในทางฮวงจุ้ย ถือว่าเป็น ภูมิโหราศาสตร์เลยทีเดียว
เพราะในการหาที่ตั้งทำเลที่อยู่อาศัยหรือที่ทำธุรกิจ จะต้องนำ ดวงชะตาชีวิตมาเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบทำเลหรือสถานที่ประกอบกัน
5. พื้นฐานแนวความคิดเรื่องทิศทั้ง 8
แนวความคิดเรื่องทิศทั้ง
8 นี้มาจากความเชื่อเรื่องจักรวาล เรื่องเทพวัตถุบนฟ้าว่าเคลื่อนที่ตามกฎหรือตัวเลขที่แน่นอน
สวรรค์ โลก มนุษย์ ธรรมชาติย่อมมีความ เชื่อมโยง
ซึ่งกันและกัน เชื่อกันว่าธรรมชาติกำหนดทิศ ฟ้าดินกำหนดคุณสมบัติของทิศ ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหยินและหยาง
และเขียนออกเป็นสัญลักษณ์ คือ หยางแทนด้วยเส้นเต็มเส้นหนึ่ง (---- )
หยินแทนด้วยเส้นประ (- -) สองเส้นเมื่อนำมาประกบกัน (หยินและหยาง) จะกลายเป็นรูปสามเหลี่ยม
ซึ่งมีความหมายว่า ธรรมชาติกำเนิดทิศ ฟ้าดินกำหนดคุณสมบัติของทิศ
ดังที่แสดงทิศทั้ง 8 ไว้ดังนี้ (ละเอียด ศิลาน้อย 2530:32)
เส้นเต็มและเส้นประแสดงทิศทั้ง 8 เมื่อทำเส้น
------ และเส้น - - อันหมายถึงหยินและหยางแสดง
ทิศทั้ง 8 รวมถึงความเกี่ยวพันกับธรรมชาติและชะตาชีวิตของคน เป็นการเชื่อมโยงจักรวาล
เข้ากับชะตาชีวิตของมนุษย์ แสดงถึงเครื่องหมายแห่งพลังอำนาจอันเข้มแข็ง ต่อมามีการนำมา
ดัดแปลงกลายเป็นรูป 8 เหลี่ยม เป็นเครื่องรางป้องกันอิทธิพล และความชั่วร้ายต่างๆ
เรียกว่า ยันต์ปากัว
(สำเนียงแต้จิ๋วออกเสียง โป๊ยข่วย) สัญลักษณ์หรือยันต์นี้เกี่ยวข้องกับฮวงจุ้ยซึ่งจะกล่าวต่อไปนี้
6. พื้นฐานแนวคิดบูชาบรรพบุรุษ
ความเชื่อเรื่องวิญญาณและการบูชาบรรพบุรุษของชาวจีนมี
มาก่อนลัทธิเต๋าและศาสนาขงจื้อ ชาวจีนเชื่อว่าคนตายไปแล้วแต่วิญญาณคงอยู่ วิญญาณมี
3 ดวง ดวงที่ 1 อยู่กับร่างที่หลุมฝังศพ (ซัวจึง) ดวงที่ 2 อยู่ที่แผ่นป้ายบรรพชนที่บูชาที่บ้าน
ดวงที่ 3 (หุน) อยู่อีกโลกหนึ่งอาจอยู่บนสวรรค์ การบูชาบรรพบุรุษเกิดจากความเชื่อที่ว่าเมื่อปฏิบัติต่อบรรพบุรุษดีและถูกต้องสม่ำเสมอ
บรรพบุรุษก็จะคุ้มครอง ช่วยเหลือทำให้ร่ำรวยมีความสุข เรื่องบูชาบรรพบุรุษและ หาทำเลที่สร้างที่ฝังศพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่เรียกว่า
ฮวงจุ้ยคนตาย หรือ ฮวงซุ้ย ซึ่งไม่กล่าวไว้ ณ ที่นี้